“สแกมเมอร์” หรือขบวนการหลอกลวงออนไลน์ ได้กลายเป็นหนึ่งในอาชญากรรมข้ามชาติที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ศูนย์กลางของปัญหานี้ปรากฏเด่นชัดในกัมพูชา เมียนมา และ สปป.ลาว ประเทศที่กลายเป็น “Safe Haven” ให้กับเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์นานาชาติ
ล่าสุด สถานการณ์สแกมเมอร์ถูกจับจ้องมากขึ้นในระดับโลก หลังเกาหลีใต้ถึงขั้นต้องเปิดปฏิบัติการข้ามแดน เพื่อติดตามช่วยเหลือพลเมืองที่ตกเป็นเหยื่อของเครือข่ายสแกมเมอร์ ที่แพร่กระจายอยู่ทั่วกัมพูชา
ในขณะที่สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร จับมือกันประกาศคว่ำบาตรและยึดทรัพย์สแกมเมอร์รายใหญ่ในกัมพูชา หลังพบหลักฐานว่าขบวนการเหล่านี้เกี่ยวพันกับการค้ามนุษย์ การฟอกเงิน บังคับทำงาน ค้าประเวณี และกิจกรรมผิดกฎหมายในระดับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
“นี่ไม่ใช่ปัญหาของกัมพูชาเพียงประเทศเดียว แต่เป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกประเทศในภูมิภาคได้รับผลกระทบโดยตรง”
ประเด็นสำคัญ
รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวย้ำถึงความร้ายแรงของปัญหาสแกมเมอร์ในกัมพูชา พร้อมชี้ว่าไทยต้องใช้โอกาสสำคัญนี้ แสดงบทบาท ‘ผู้นำ’ ในการต่อสู้และปราบปรามปัญหาสแกมเมอร์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กำลังจะมีขึ้นปลายเดือนนี้
“เราควรแสดงให้โลกเห็นว่าไทยพร้อมจะร่วมมือ แบ่งปันข้อมูล และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อปราบปรามขบวนการหลอกลวงออนไลน์เหล่านี้อย่างเป็นระบบ”
3 เสาหลัก ‘อุตสาหกรรมสแกม’
รศ. ดร.ปิติ อธิบายให้เห็นภาพว่า โครงสร้างของธุรกิจสแกมเมอร์ในภูมิภาคอาเซียนนั้น ไม่ต่างจากอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ โดยหากแยกองค์ประกอบออกมาจะพบ ‘3 เสาหลัก’ ที่ทำให้ขบวนการเหล่านี้ดำรงอยู่ได้ ได้แก่
1.โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Facility)
ตั้งแต่ระบบอินเทอร์เน็ต โทรคมนาคม ไปจนถึงพลังงานและการขนส่ง ทุกอย่างล้วนจำเป็นต่อการดำเนินงานของเครือข่ายสแกม การเคลื่อนย้ายคน อาหาร เงินทุน หรืออุปกรณ์ผ่านพรมแดน ต้องอาศัยช่องทางที่มักได้รับการอำนวยความสะดวกอย่างผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม รศ. ดร.ปิติ กล่าวว่า “คำถามสำคัญที่ต้องพิสูจน์ในประเทศไทยก่อนคือ กฎหมายไทยบังคับใช้อย่างเข้มแข็งแล้วหรือยัง เจ้าหน้าที่บางส่วนยังหลับตาข้างหนึ่งอยู่หรือไม่ และเอกชนในห่วงโซ่ต่าง ๆ ตั้งแต่รถตู้รับส่งจนถึงสถาบันการเงินขนาดใหญ่ มีส่วนรู้เห็นหรือเปล่า”
2. กฎระเบียบและอำนาจอธิปไตย (Regulation & Sovereignty)
การบังคับใช้กฎหมายในคดีข้ามพรมแดนนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน เพราะเกี่ยวพันกับเขตอำนาจของหลายประเทศ
รศ. ดร.ปิติ ชี้ว่า ตัวอย่างง่ายๆ ที่ควรพิจารณาคือ “หากอเมริกาหรือจีนจะเข้ามาบังคับใช้กฎหมายในไทย ก็อาจเป็นการล่วงละเมิดอธิปไตยของไทย แต่ในทางกลับกัน หากไทยต้องการเข้าไปดำเนินการจับกุมหรือกวาดล้างแก๊งสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ก็เสี่ยงจะละเมิดอธิปไตยของเขาเช่นกัน”
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือจำเป็นต้องมี ‘กติกาภูมิภาค’ ที่ชัดเจน อาจเป็นการตั้งคณะทำงานร่วมระดับอาเซียน เพื่อมอนิเตอร์และประสานงานด้านกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
3. การคุ้มครองผู้บริโภค (Consumer Protection)
การสร้างภูมิคุ้มกันหรือทำให้ประชาชนมีความฉลาดรู้มากพอและไม่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการสแกม ถือเป็นแนวป้องกันด่านแรกที่สำคัญ
รศ. ดร.ปิติ ที่ทำงานใน ASEAN Foundation ยกตัวอย่างโครงการใหม่ที่ชื่อว่า ‘Scam Ready ASEAN’ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุน 5 ล้านดอลลาร์จาก Google.org เพื่อพัฒนาความรู้เบื้องต้นในการปกป้องตนเองจากกิจกรรมสแกม ให้แก่ประชาชนกว่า 3 ล้านคนทั่วอาเซียน และสนับสนุนให้ผู้ที่สนใจเรียนรู้ต่อกลายเป็น Master Trainer เพื่อนำองค์ความรู้เชิงลึกไปสอนในชุมชนของตนเอง โดยถือเป็นโครงการให้ความรู้เพื่อต่อต้านสแกม ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน 10 ประเทศอาเซียนบวกติมอร์-เลสเต
คอร์รัปชันชายแดน จุดเปราะบางของไทย
ทั้งนี้ ในส่วนการดำเนินการของรัฐบาลเพื่อต่อต้านปัญหาสแกมเมอร์นั้น ในทางปฏิบัติมีอุปสรรคสำคัญคือ ปัญหาคอร์รัปชันและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน
“คนที่อยู่แนวหน้าย่อมรู้ดีว่ารถขนคนจำนวนมากจากเอเชียใต้หรือแอฟริกาไม่อาจผ่านด่านได้หากไม่มีการอำนวยความสะดวกบางอย่าง คำถามคือ ผ่านไปได้อย่างไร ทั้งที่มีการตรวจคนเข้าเมืองและหน่วยความมั่นคงอยู่ตรงนั้น” รศ. ดร.ปิติกล่าว
เขาเสนอว่า “หากไทยต้องการชูบทบาทผู้นำและทำให้ทั่วโลกเข้าใจว่า ประเทศไทยเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบ ก็ต้องมีความจริงใจทางนโยบายในการจัดการเรื่องคอร์รัปชันอย่างเร่งด่วน เพื่อแสดงให้เห็นว่าไทยเป็นผู้เล่นที่สุจริตและพร้อมร่วมมือกับนานาชาติในการจัดการปัญหานี้อย่างจริงจัง ไม่ใช่เราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ”
ปัญหาสำคัญคือรัฐขาด Political Will
รศ. ดร.ปิติ กล่าวถึงเวที ASEAN Think Tank Summit ที่เพิ่งจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งรวบรวมนักวิชาการจากศูนย์วิจัยทั่วอาเซียนมาหารือ พบว่า “ปัญหาสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในภูมิภาคนี้ คือเครือข่ายสแกมเมอร์นั้นเป็นเนื้อเดียวกับผู้มีอำนาจรัฐ หรือใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจรัฐ
“ในรัฐที่มีลักษณะเช่นนี้ รัฐนั้นจะไม่มี Political Will หรือความจริงใจในทางนโยบายในการจัดการ เพราะพวกเขาอาจได้ประโยชน์จากกิจกรรมเหล่านี้ เราเห็นได้จากข้อมูลล่าสุดของสหรัฐฯ ที่การบังคับใช้กฎหมายไปเกี่ยวข้องกับนักธุรกิจผิดกฎหมายและนักธุรกิจสีเทา ซึ่งเป็นเครือญาติและผู้สนับสนุนครอบครัวการเมืองในประเทศเพื่อนบ้านของเรา”
เขาชี้ว่า หากรัฐบาลไทยไม่เร่งแสดงบทบาทเพื่อจัดการกับปัญหาสแกมเมอร์ ในอนาคตปัญหานี้ ‘จะรุนแรงมากขึ้น’ และอาจจะยกระดับขึ้นเป็น ‘บริการอาชญากรรมข้ามชาติแบบครบวงจร’ เช่น ให้บริการวิศวกรเขียนซอฟต์แวร์สำหรับบ่อนพนันออนไลน์, การตั้งเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่มีใครตามรอยได้, การฟอกเงิน และอาจลุกลามไปถึงการสนับสนุนกิจกรรมการโจมตีทางไซเบอร์ต่อระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ระบบสาธารณสุข ไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐาน หรือแม้แต่การป้องกันประเทศ
ปิดพรมแดน แก้ปัญหาสแกม
สำหรับประเทศไทยที่ยังคงมีปัญหาขัดแย้งชายแดนกับกัมพูชา และไม่มีท่าทีว่าจะคลี่คลายลงง่ายๆ มีคำถามสำคัญคือ หากปัญหาสแกมเมอร์ยังรุนแรงเช่นนี้ ไทยควรปิดด่านพรมแดนต่อไปหรือไม่?
รศ. ดร.ปิติ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “การปิดด่านนั้นมีหลายระดับ หากเป็นเรื่องของการค้าชายแดนปกติ การไปมาหาสู่ที่กระทบต่อความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ ไทยควรจะเปิด แต่คาสิโนบริเวณชายแดนนั้นเกี่ยวพันกับศูนย์สแกมเมอร์ การค้ามนุษย์ และการฟอกเงินทั้งสิ้น ดังนั้นต้องมี ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ว่าถ้าจะเปิด จะเปิดในลักษณะไหน และถ้าจะปิด จะไม่เปิดให้กิจกรรมไหนบ้าง”
“หากคุณเปิดชายแดนแล้วยังเห็นรถตู้หรือรถทัวร์ขนคนจำนวนมากเพื่อข้ามไปเล่นการพนันหรือเข้าคาสิโน โดยมีคนอำนวยความสะดวก เจ้าหน้าที่ความมั่นคงและตรวจคนเข้าเมืองที่หน้างานต้องสกัดกั้นกิจกรรมพวกนี้ การจัดการต้องลงไปอยู่ที่หน้างานและปรับวิธีการให้สอดคล้องกับเป้าหมาย รวมถึงต้องมอนิเตอร์ตามช่องทางธรรมชาติด้วย” เขากล่าว และชี้ว่า “การบริหารจัดการเรื่องนี้ต้องพึ่งพา 4 ปัจจัยคือ คนที่พร้อมทำงาน, ความรู้ในการวางยุทธศาสตร์, ห้วงเวลาที่เหมาะสม และงบประมาณที่ใส่ลงไป”
ไทยกับบทบาทนำแก้ปัญหาสแกม
สิ่งที่หลายฝ่ายเรียกร้องคือท่าทีของรัฐบาลไทย ในฐานะที่เป็นทั้งเพื่อนบ้านและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสแกมเมอร์ ซึ่งขณะนี้ลุกลามเป็นปัญหาระดับโลก สิ่งที่เหมาะสมจึงเป็นการชูบทบาทเชิงรุกในการเป็น ‘ผู้นำ’ เพื่อแก้ปัญหา
รศ. ดร.ปิติ เน้นว่า “ประเทศไทยต้องแสดงบทบาทในประเด็นนี้” โดยมีโอกาสสำคัญในหลายเวทีพหุภาคี ทั้งการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และสุดยอดผู้นำ East Asia Summit ซึ่งประกอบด้วยอาเซียนบวกอีก 8 ประเทศ ที่กำลังจะจัดขึ้นปลายเดือนนี้
นอกจากนี้ อาเซียนยังมีการเจรจาแบบบวก 1 กับประเทศที่สำคัญ เช่น อาเซียน-เกาหลี, อาเซียน-ญี่ปุ่น, อาเซียน-จีน, อาเซียน-สหรัฐฯ ประกอบกับในห้วงการประชุมอาเซียนครั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็จะเดินทางมาเยือนและร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาด้วย
“ไทยต้องแสดงบทบาทสำคัญว่าเราพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนข้อมูล และพร้อมที่จะบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามขบวนการหลอกลวงออนไลน์สแกมเมอร์แบบนี้อย่างจริงจัง” รศ. ดร.ปิติ เน้นย้ำ และชี้ว่า “ปัญหานี้ต้องการ Collective Efforts หรือความพยายามร่วมกันจากทุกประเทศทั่วโลกที่ได้รับความเสียหาย”