×

เด็กไทยวิจัยไกลถึงดวงดาว: ชวนดูโครงงานดาราศาสตร์ของเยาวชนไทย ในงาน TACs 2024

09.07.2024
  • LOADING...

อวกาศอาจเป็นเรื่องห่างไกล และดูเกินเอื้อมคว้าไปถึงดาว แต่ไม่ใช่สำหรับเยาวชนหลายคน ที่แม้เท้าของพวกเขายังอยู่บนพื้นโลก แต่ดวงตาและความคิดพวกเขาได้แหงนมองไปยังเทหวัตถุบนฟ้าสุดแสนไกล

 

เมื่อวันที่ 29-30 มิถุนายนที่ผ่านมา THE STANDARD ได้ร่วมสังเกตการณ์งานประชุมวิชาการดาราศาสตร์แห่งประเทศไทย (สำหรับเยาวชน) ครั้งที่ 10 หรืองาน TACs 2024 จัดโดย NARIT หรือสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งมีงานวิจัยจากนักเรียนไทยและสิงคโปร์ที่ผ่านการคัดเลือกรวมทั้งสิ้น 65 โครงงาน

 

หัวข้อของงานวิจัยค่อนข้างมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะ ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ สสารระหว่างดาว กาแล็กซี เอกภพวิทยา ดาราศาสตร์วิทยุ ไปจนถึงดาราศาสตร์โบราณคดี และการทำให้ดาราศาสตร์เข้าถึงผู้คนทุกกลุ่ม

 

สิรภพ ผลภักดี จากโรงเรียนสาธิต “พิบูลบำเพ็ญ”​ มหาวิทยาลัยบูรพา ผู้สร้างโปรแกรมจำลองภาพปรากฏการณ์ ‘เลนส์ความโน้มถ่วง’ จากวัตถุมวลมากในจักรวาล อาทิ หลุมดำหรือกระจุกดาวฤกษ์ เปิดเผยว่า “ตอนเด็กๆ ผมอินในเรื่องหลุมดำ ชอบวัตถุในอวกาศลึกมาก จนอยากรู้ว่าถ้ามีหลุมดำอยู่บนโลก เหมือนกับในภาพยนตร์เรื่อง Interstellar มันจะมีหน้าตาอย่างไร เลนส์ความโน้มถ่วงที่เกิดขึ้นจะเป็นแบบไหน จนเป็นงานวิจัยตัวนี้ขึ้นมาครับ”

 

จากการใช้ภาษาโปรแกรม Python เพื่อสร้างแบบจำลองเลนส์ความโน้มถ่วงที่ปรับเปลี่ยนได้ตามมวลและตำแหน่งของหลุมดำ โดยอาศัยทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่ผู้ใช้สามารถเห็นภาพผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้งานของสิรภพได้รับรางวัลเหรียญทองจากงาน TACs 2024 โดยเจ้าตัวเล่าว่าจะพัฒนาโค้ดให้ทุกคนสามารถนำไปใช้ต่อได้ เพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้ด้านดาราศาสตร์ในอนาคต

 

อีกหนึ่งงานวิจัยน่าสนใจ เป็นการศึกษาการประยุกต์ใช้ Machine Learning เพื่อทำนายแนวโน้มการเกิดปรากฏการณ์ Solar Flare ของนักเรียนจากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์ ประกอบด้วย พรธิชา รักษาโคตร, พัชราภรณ์ นุชกลาง และ ภูรี แสงสงวน

 

ภูรีเล่าว่า “งานของพวกเราเป็นการพยากรณ์การเกิด Solar Flare 3 ระดับ ได้แก่ ระดับ C, M และ X ซึ่งเป็น 3 ระดับที่ส่งผลต่อโลกและนักบินอวกาศได้ โดยเก็บข้อมูลย้อนหลังมาตั้งแต่ปี 1986 มาจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2024 เพื่อนำข้อมูลที่ได้มา Fitting ในโมเดล Prophet และ ARIMA ก่อนปรับค่าให้มีความแม่นยำมากขึ้นจากผลลัพธ์ที่ได้มา”

 

ด้านพรธิชาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในระหว่างเก็บข้อมูลมีการเกิด Solar Flare ที่รุนแรงเป็นพิเศษขึ้น ซึ่งไม่ได้ถูกนำไปเทรนในโมเดลไว้ก่อนหน้า แต่จะมีการปรับแก้ไขด้วยการนำข้อมูลการเกิด Solar Flare อย่างรุนแรงจากในอดีตไปป้อนในโมเดล เพื่อให้ระบบวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และนำไปใช้ทำนายแนวโน้มการเกิด Solar Flare ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ยังมีโครงงานที่ได้พัฒนาแบบจำลองการเกิดข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์สำหรับผู้บกพร่องทางการมองเห็น จัดทำโดย วิสิฐ แซ่ตั้ง และ รุจีพัชร สังขรัตน์ จากโรงเรียนวัดป่าประดู่ ที่ออกแบบโมเดลแบบจำลองเฟสและตำแหน่งของดวงจันทร์ให้มีพื้นผิวสัมผัสต่างกัน จนผู้ใช้สามารถรับรู้ความแตกต่างของการเกิดข้างขึ้นข้างแรมโดยคร่าวๆ ได้

 

โมเดลดังกล่าวประกอบด้วยแบบจำลอง 2 ชุด ได้แก่ แบบจำลองเฟสดวงจันทร์ และแบบจำลองตำแหน่งของดวงอาทิตย์ โลก ดวงจันทร์ ผ่านการใช้อุปกรณ์สเต็ปมอเตอร์ควบคุมแบบจำลองทั้งสองให้มีตำแหน่งที่สอดคล้องกัน โดยนักเรียนผู้จัดทำโครงงานให้ข้อมูลว่าอาจมีการเพิ่มความแตกต่างของอุณหภูมิผิวสัมผัส เพื่อให้ผู้บกพร่องทางการมองเห็นได้รับรู้ช่วงกลางวัน-กลางคืนได้ดียิ่งขึ้น

 

โครงงานดังกล่าวเป็น 1 ใน 3 โครงงานที่ได้รับรางวัลโปสเตอร์ดีเด่นจากการโหวตของผู้เข้าร่วมงาน และสอดคล้องกับการทำให้ดาราศาสตร์เข้าถึงทุกคน ตามที่ NARIT เคยจัดกิจกรรมพานักเรียนและเยาวชนผู้บกพร่องทางการมองเห็น ผ่านท้องฟ้าจำลองพิเศษและการสัมผัสประสบการณ์ดูดาวบนท้องฟ้าจริงมาแล้ว

 

นอกจากโครงงานในข้างต้น ยังมีงานวิจัยน่าสนใจอีกมากมาย อาทิ การศึกษาคุณสมบัติที่สำคัญของกาแล็กซีต้นกำเนิดคลื่นความโน้มถ่วงและกาแล็กซีอื่นๆ ภายใน Localization Maps ของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, การศึกษามลภาวะทางแสงที่ส่งผลต่อการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ในช่วงความยาวคลื่น R, G และ B ร่วมกับการประยุกต์ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์สำหรับมลภาวะทางแสง ของโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี และการศึกษาระยะห่างของ Supernova Type Ia และระยะห่างระหว่างกาแล็กซีของนักเรียนจากโรงเรียนตะพานหิน ที่มีการศึกษาข้อมูลและนำเสนอได้น่าสนใจ จนเป็นหนึ่งในโครงงานที่คว้ารางวัลเหรียญทองในงาน TACs ปีนี้

 

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ระบุว่า ในงาน TACs ครั้งนี้ ได้เห็นผลงานจากยุววิจัยรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ พร้อมกับได้เห็นคุณครูที่มีส่วนช่วยผลักดันนักเรียนอย่างแข็งขัน ซึ่งในระหว่างกล่าวเปิดงาน ดร.ศรัณย์ ได้กล่าวว่า การจัดงานดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าอยากให้ต้องมีนักดาราศาสตร์เต็มประเทศไทย แต่อยากให้ดาราศาสตร์สร้างแรงบันดาลใจ เป็นความสนุกในชีวิต และให้เยาวชนได้ใช้วิทยาศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตต่อไป

 

งาน TACs เป็นหนึ่งในพื้นที่ให้เยาวชนและเด็กนักเรียนที่มีความสนใจในด้านดาราศาสตร์ได้มีโอกาสทำโครงงานและวิจัยของตนเอง โดยไม่มีข้อจำกัดในเนื้อหาหรือสาขาที่สนใจ เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สร้างความตระหนักรู้ในสายงานด้านดาราศาสตร์ ที่มีส่วนสร้างบุคลากรขึ้นมาเป็นนักวิจัยมาอย่างต่อเนื่อง และทำให้อวกาศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่เคยคาดคิดอีกต่อไป

 

 

ภาพ: NARIT

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising