×

‘หุ้นไทย’ ร่วงหนักเฉียด 30 จุด ‘2 ปัจจัย’ กดดัน ทั้งวิกฤตรัสเซียและโควิดในประเทศ จับตาดัชนีเสี่ยงหลุด 1,650 จุด

24.02.2022
  • LOADING...

ดัชนีหุ้นไทยไหลลงต่ำกว่า 1,670 จุด นักวิเคราะห์ประเมินจาก 2 ปัจจัย คือ ‘รัสเซีย-ยูเครน’ และ ‘โควิดในประเทศ’ พร้อมมองความเสี่ยงยังเปิดอยู่จนกว่าดัชนีจะต่ำกว่า 1,650 จุด ถึงจะเริ่มน่าสนใจเข้าซื้อบางส่วน 

 

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย เช้านี้ (24 กุมภาพันธ์) ดัชนี SET ร่วงแตะระดับ 1,667.31 จุด ลดลง 29.14 จุด หรือราว 1.6% ก่อนจะรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อยมาปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 1,669.44 จุด ลดลง 27.01 จุด หรือ 1.59% มูลค่าการซื้อขายรวม 74,844 ล้านบาท 

 

โดยการปรับตัวลงเป็นภาพเดียวกันกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก โดยตลาดหุ้นในเอเชียปรับตัวลงประมาณ 1-3% อย่างดัชนี Hang Seng ฮ่องกง ลดลงไป 3.1% ดัชนี Nikkei 225 ญี่ปุ่น ลดลง 2.2% 

 

เอกภาวิน สุนทราภิชาติ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ มองว่า การปรับฐานของตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดขึ้นหลังจากกระแสข่าวที่ว่า วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซียสั่งทหารบุกเข้ายูเครน ทำให้เกิดแรงขายในสินทรัพย์เสี่ยง อย่าง Dow Jones Futures ที่ติดลบไป 700 จุด ขณะที่ราคาทองคำก็พุ่งขึ้นมา 

 

หลังจากนี้คงต้องติดตามสถานการณ์ว่าทางฝั่งของสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรจะมีปฏิกิริยาอย่างไร รวมทั้งโอกาสของการเจรจากัน เบื้องต้นมองว่าแนวรับดัชนี SET บริเวณ 1,650-1,660 จุด น่าจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ เพราะตอนนี้เกิดความชัดเจนว่ารัสเซียบุกแล้ว ต่อไปจะเป็นเรื่องของความรุนแรงว่าจะยกระดับขึ้นหรือไม่

 

“หากเกิดภาพของการเจรจา เชื่อว่าตลาดจะฟื้นตัวได้เร็ว สำหรับหุ้นไทยจะเห็นว่าต่างชาติยังคงเข้าซื้อและประคองดัชนีไว้ก่อนหน้านี้ แต่หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นก็อาจจะเห็นดัชนี SET ลงไปแถว 1,600 จุด แต่มองว่าเป็นโอกาสซื้อมากกว่า เพราะจะเป็นแนวรับในเชิงปัจจัยพื้นฐาน” 

 

โดยปกติการปรับฐานจากปัจจัยในลักษณะนี้จะจบเร็ว หลังจากนี้เชื่อว่าอัตราเร่งในการลงจะไม่มากแล้ว เพราะตลาดปรับฐานมาพอสมควร โดยรวมมองว่านักลงทุนอาจจะใช้จังหวะนี้ทยอยเข้าซื้อหุ้นพื้นฐานดี เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และค้าปลีก รวมถึงสนามบินที่น่าจะฟื้นตัวได้ในปีนี้

 

ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า เรื่องของรัสเซียและยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของการปรับลงในวันนี้ แต่หากพิจารณาจากที่ผ่านมาจะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่งกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค และต่างชาติมองว่าเราเป็นหลุมหลบภัย สะท้อนจากเงินบาทที่แข็งค่ากว่าภูมิภาคอย่างเห็นได้ชัด 

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปคือสถานการณ์โควิดภายในประเทศ ซึ่งล่าสุดยังไม่เห็นจุดพีครอบใหม่ ทั้งในแง่ของผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต รวมถึงอัตราการครองเตียงที่เริ่มเต็มในบางแห่ง 

 

“ล่าสุด กำไรของตลาดถูกนักวิเคราะห์หั่นลงอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นระดับต่ำสุดใหม่ของปีนี้ โดยเดิมทีคาดว่าจะอยู่ในระดับ 94 บาทต่อหุ้น และ 107 บาทต่อหุ้น สำหรับปี 2565 และ 2566 ล่าสุด ลงมาเหลือ 93.6 บาทต่อหุ้น และ 106.5 บาทต่อหุ้น” 

 

หากประเมินจากมูลค่าเป็นสำคัญ โดยพิจารณาจาก Earning Yield Gap โดยอิงบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ 1.9% และกำไรต่อหุ้นที่ 94-97 บาท ทำให้กรอบด้านบนของตลาดจะอยู่ที่ 1,740 จุด และด้านล่างคือ 1,530 จุด เพราะฉะนั้นจุดที่ดัชนีหุ้นไทยจะเริ่มน่าสนใจเข้าซื้อจริงๆ คือต่ำกว่า 1,635 จุดลงมา 

 

“หากตัดเรื่องของรัสเซียและยูเครนออกไป ดัชนี SET ก็มี Downside อยู่ก่อนแล้ว และจริงๆ แล้วพื้นฐานของ บจ.ไทยเชื่อมโยงกับรัสเซียและยูเครนน้อยมาก หรืออาจจะเป็น Upside ต่อหุ้นกลุ่มน้ำมันเสียด้วย” 

 

ด้วยระดับราคาที่ยังสูงกว่าพื้นฐาน เราจึงแนะนำชะลอการลงทุนมาตลอด โดยพยายามเลือกหุ้นที่เป็นหลุมหลบภัย เช่น โรงพยาบาล ส่วนการจะซื้อกลับโดยภาพรวมควรจะรอให้ดัชนีลงมาต่ำกว่า 1,650 จุด เป็นอย่างน้อย จึงจะเริ่มน่าสนใจในแง่ของความเสี่ยงและผลตอบแทน 

 

ทั้งนี้ มองว่าหุ้นกลุ่มอิงกับเศรษฐกิจในประเทศยังเสี่ยงจากเรื่องโควิด ช่วงนี้ควรเน้นหุ้นที่อิงกับการส่งออกและเศรษฐกิจโลก ส่วนกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นลักษณะของการเก็งกำไรมากกว่า โดยเฉพาะน้ำมันที่อิงกับข่าวเป็นหลัก ในส่วนนี้อาจจะมีกลุ่มโรงกลั่นที่อาจจะน่าสนใจ ด้วยค่าการกลั่นที่ยืนอยู่ได้ค่อนข้างดี และจะมีกำไรจากสต๊อกสินค้าในไตรมาสแรก 

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising