ความเคลื่อนไหวตลาด หุ้นไทย วันนี้ (22 กันยายน) ดัชนี SET ปิดตลาดที่ 1,645.29 จุด เพิ่มขึ้น 11.84 จุด หรือ 0.72% จากวันก่อนหน้า สวนทางกับทิศทางของตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก อย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ที่ลดลงไปกว่า 1% ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปซึ่งเปิดทำการในช่วงบ่าย (ตามเวลาประเทศไทย) ติดลบอยู่ประมาณ 0.5% เช่นเดียวกับตลาดหุ้นหลักในเอเชียเช่น Hang Seng ฮ่องกง -1.6%, Taiwan Weighted ไต้หวัน -1%, KOSPI เกาหลีใต้ -0.6%, Nikkei 225 ญี่ปุ่น -0.6% และ PSEi Composite ฟิลิปปินส์ -0.6%
ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆ นอกเหนือจากหุ้นไทยที่ยืนในแดนบวกได้วันนี้ เช่น IDX Composite อินโดนีเซีย +0.4% และ MOEX รัสเซีย +2.4%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่
- 9 หุ้น จ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า 5% ตลอด 5 ปี แถมราคาตั้งแต่ต้นปียังบวก
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65
ทั้งนี้ หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมา แม้ว่าดัชนี SET อาจทำได้เพียงทรงตัวจากปีก่อน โดยติดลบอยู่ประมาณ -0.7% แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก จะเห็นว่าดัชนี SET เป็น 1 ใน 10 ดัชนีที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้
จากข้อมูลดัชนีตลาดหุ้นหลักทั่วโลก (Major World Market Indices) ของ Investing.com ณ วันที่ 22 กันยายน 2565 ดัชนี SET ถือเป็นดัชนีที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับ 8 นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา
หุ้นไทยมีโอกาส Outperform หุ้นโลกต่อเนื่องในปีหน้า
“ที่ผ่านมาหุ้นไทยฟื้นตัวน้อยหรือแทบจะไม่ไปไหน แต่โดยเปรียบเทียบแล้ววันนี้หุ้นไทยเป็น 1 ใน 10 ของโลกที่ Outperform ทั้งหุ้นสหรัฐฯ ที่ติดลบไป 20% หรือหุ้นใน Emerging Market ที่ติดลบ 25%” ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าว
หุ้นไทยเป็นเหมือน Safe Haven เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ เนื่องจากเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ดี ด้วยภาระหนี้ที่ไม่สูงเกินไป และมีหนี้ต่างประเทศน้อย ขณะที่เงินทุนไหลออกจาก Emerging Market หลายตลาด ส่วนมากจะเป็นประเทศที่มีหนี้ต่างประเทศสูง ซึ่งได้รับแรงกดดันจากการที่ค่าเงินในประเทศอ่อนสวนทางกับดอลลาร์ที่แข็งค่า
นอกจากจะเป็น Safe Haven แล้ว หุ้นไทยยังมีแรงส่งจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวตามการท่องเที่ยวซึ่งมีสัดส่วนสูงต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ GDP ปีหน้ายังมีแนวโน้มจะเติบโตดีกว่าปีนี้ โดยคาดว่าจะเติบโตกว่า 4% เทียบกับปีนี้ที่มองกันไว้ 3%
ขณะเดียวกันเชื่อว่าเงินลงทุนทั่วโลกยังจะไหลเข้าตลาดหุ้นด้วยสภาพคล่องที่ยังคงสูง แม้ว่า Fed จะเริ่มดูดเงินออกจากระบบ (Quantitative Tightening) แต่ยังต้องใช้เวลาอีกราว 3 ปี กว่าจะดูดสภาพคล่องส่วนเกินกลับออกไปได้หมด
อย่างไรก็ตาม เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าหุ้นไทยปีนี้อาจไม่ใช่นักลงทุนระยะยาวอย่างในอดีต
“ทุกวันนี้คงยากที่จะเห็นการลงทุนยาว 5 ปี เพราะความผันผวนที่สูงและความเสี่ยงที่มากขึ้น แต่ด้วยปัจจัยบวกเฉพาะตัวของหุ้นไทย ทำให้ยังมีโอกาสที่เงินทุนจะไหลเข้าได้อยู่”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องติดตามคือเศรษฐกิจของไทยจะฟื้นได้ตามที่หวังหรือไม่ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ปีนี้คาดหวังว่าจะเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวแตะ 10 ล้านคน ก่อนจะเพิ่มเป็น 20-25 ล้านคนในปีหน้า
“ต้องยอมรับว่าปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ยังสูง เช่น เรื่องของ Recession ทำให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไม่ควรจะมากเท่าเดิม แต่ก็ยังจำเป็นจะต้องมีหุ้นอยู่บ้าง อย่างหุ้นไทยเองยังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ทำให้น่าจะยัง Outperform หุ้นประเทศอื่นๆ ได้อีก 1 ปีข้างหน้า แต่นักลงทุนควรจะเน้นหุ้นที่มีเงินปันผลเติบโต รวมทั้งหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศและการท่องเที่ยว”
แม้จะแข็งแกร่ง แต่หุ้นไทยอาจทำได้แค่แกว่งตัวในกรอบแคบ
ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในเวลานี้เป็นตลาดที่แกว่งตัวออกข้าง (Side-Way) อย่างแท้จริง ในจังหวะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นแรง หุ้นไทยก็ไม่ได้ขยับมากนัก ส่วนวันที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลงแรง หุ้นไทยก็ไม่ลงตาม
ส่วนเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่ไหลเข้าหุ้นไทยในช่วงนี้น่าจะเป็นกลุ่ม High-Frequency Trading และกลุ่มที่เน้นเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่าที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาว
“เชื่อว่าหุ้นไทยจะยังคง Side-Way ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4 ปัจจุบันหุ้นไทยอยู่ในจุดกลางๆ ทั้งเรื่องของ Valuation และ Cycle ที่ผ่านจุดสูงสุดของความกลัวต่อเงินเฟ้อ แต่ก็ยังไม่ถึงจุดสูงสุดของความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย”
ส่วนกรณีที่ต่างชาติที่เน้นลงทุนระยะยาวยังไม่กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทย เป็นเพราะปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งไทยมีศักยภาพในการเติบโตต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอุตสาหกรรมในประเทศที่ยังเชื่อมโยงกับ Old Economy เป็นส่วนใหญ่
“ปัจจัยหนึ่งที่สะท้อนว่าต่างชาติยังไม่ซื้อสะสมหุ้นไทยเพื่อลงทุนยาวคือ การที่ Active Fund ขนาดใหญ่ 10 อันดับแรก ยังถือครองหุ้นไทยน้อยมาก และกลับไปเน้นลงทุนในประเทศ Emerging Market อื่นๆ มากกว่า อย่างปีก่อนจะเน้นลงทุนในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์”
อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยปีนี้มีจุดเด่นจากการที่ตลาดค่อยๆ ปรับคาดการณ์กำไรหุ้นไทยขึ้นต่อเนื่อง แตกต่างไปจากปีก่อนๆ ที่มักจะเริ่มต้นจากคาดการณ์ในระดับสูง และค่อยๆ ถูกปรับลดลง
โดยภาพรวมเชื่อว่าหุ้นไทยจะแกว่งตัวในกรอบแคบระหว่าง 1,510-1,750 จุด ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นโลกอย่างหุ้นสหรัฐฯ แม้จะมีแรงขายในช่วงนี้ แต่ด้วยสภาพคล่องในตลาดที่ยังดี เชื่อว่าถึงจุดหนึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีของการช้อนซื้อ (Buy on Dip)
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่กังวลเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง
อีกหนึ่งประเด็นที่นักลงทุนจับตาคือ การอ่อนค่าของเงินบาทที่ล่าสุดอ่อนค่าทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 16 ปี และแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของไทย
ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การอ่อนค่าของเงินบาทขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน ขณะที่การลงทุนมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเป็นปกติ
ที่ผ่านมาการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ มีผลกระทบกับเงินทุนเคลื่อนย้ายทั่วโลก รวมถึงผลกระทบต่อค่าเงินบาท
อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายทางการเงินของไทยจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยกล่าวไว้ว่า ไม่จำเป็นต้องดำเนินไปตามทิศทางของต่างประเทศ ด้วยปัจจัยพื้นฐานไม่ต่างกัน ซึ่งปัจจุบันการดำเนินนโยบายการเงินของไทยตอนนี้ค่อนข้างเหมาะสม
ทั้งนี้ เชื่อว่าครึ่งปีหลังทิศทางของค่าเงินบาทน่าจะค่อยๆ ดีขึ้น เนื่องจากการท่องเที่ยวที่จะดึงเม็ดเงินไหลเข้ามามากขึ้น
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP