×

แนวโน้ม SET จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย และติดตามกำไรตลาดหลังงบไตรมาส 2

26.07.2022
  • LOADING...
SET

ตลาดหุ้นไทย ( SET ) เริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำบริเวณ 1,518 จุด โดยภาพรวมของภาวะการลงทุนในตลาดผ่อนคลายลง หลังตลาดหุ้นลงมาสะท้อนเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางต่างๆ เพื่อสกัดเงินเฟ้อในระดับสูงในระดับหนึ่งแล้ว ในขณะที่ภาพรวมของผลการดำเนินงานใน Q2 ยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้น Nasdaq ซึ่งราคาหุ้นฟื้นตัวกลับขึ้นมาอย่างโดดเด่น 

 

ส่วนในบ้านเราเริ่มต้นรายงานผลการดำเนินงานใน Q2 กลุ่มธนาคาร ซึ่งภาพรวมส่วนใหญ่กำไรออกมาดีกว่าคาด โดยปัจจัยหลักเกิดจากรายการตั้งสำรองที่น้อยกว่าคาด และส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด (เพิ่มขึ้น 0.08% เมื่อเทียบ QoQ จากผลตอบแทนการให้สินเชื่อที่ดีขึ้น) ทั้งนี้ใน 2Q65 กําไรสุทธิของกลุ่มธนาคารลดลง 1%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 2%YoY (22%YoY หากไม่รวมกําไรจากการขายหุ้น TIDLOR ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวใน 2Q64 ของ BAY) 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


ด้านปัจจัยบวกที่กล่าวมาส่งผลให้ SET ฟื้นตัวขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,550 จุด ส่วนประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ รายงาน GDP สหรัฐฯ ใน 2Q65 วันที่ 28 กรกฎาคมนี้ ซึ่งหากออกมาหดตัวต่อเนื่องจาก Q1 จะเท่ากับว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งแม้เป็นปัจจัยกดดันตลาดได้ อย่างไรก็ตาม มองว่า SET มี Downside จำกัดบริเวณ 1,500 จุด โดยมีเหตุผลสนับสนุนจาก 

 

  1. มองตลาดลงมาสะท้อนการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว รวมถึงเงินเฟ้อสหรัฐฯ คาดผ่านจุดพีคไปแล้วที่ระดับ 9.1%YoY ในเดือนมิถุนายน โดยจากการคาดการณ์ของ SCBS คาดว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมจะชะลอตัวมาที่ระดับ 8.7%YoY จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่เริ่มปรับตัวลง ทั้งนี้ หากดูจาก Core CPI ซึ่งเป็นเงินเฟ้อที่ไม่รวมอาหารสดและพลังงานของสหรัฐฯ ประจำเดือนมิถุนายน มีสัญญาณชะลอตัวมาก่อนแล้ว 

 

  1. ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน SET ยังมีแนวโน้มดี หลังจบรายงานผลการดำเนินงานใน 2Q65 

 

โดยจากการศึกษาของ SCBS พบว่า 1. หุ้นที่จะปรับประมาณการขึ้นนั้นมีสัดส่วนของกำไร (68%) มากกว่าหุ้นที่จะถูกปรับประมาณการลง (32%) และ 2. หุ้นที่จะถูกปรับประมาณการลงมากกว่า 5% นั้นมีสัดส่วนมูลค่าตลาดและกำไรค่อนข้างน้อย 

 

นอกจากนี้ ด้านการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกลุ่มที่คาดว่าจะถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น หลังงบ 2Q65 ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นน้อยอยู่ ในขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มที่คาดว่าจะถูกปรับประมาณการลง ราคาหุ้นปรับตัวลงมาระดับหนึ่งแล้ว ทำให้สรุปได้ว่าตลาดอาจจะไม่ตอบสนองต่อการปรับประมาณการลงมากนัก แต่จะเป็นประเด็นกดดันตลาดจนกว่าผลประกอบการจะเสร็จสิ้นในเดือนสิงหาคม 

 

อย่างไรก็ตาม จะมีความหวังในกลุ่มหุ้นที่จะปรับประมาณการขึ้น และงบที่ดีกว่าที่คาดเป็นผลบวกต่อตลาดมากกว่า ทั้งนี้ ด้านกลยุทธ์การลงทุนที่ตลาดยังมีความเสี่ยง แต่ดู Downside จำกัดบริเวณ 1,500 จุด จึงแนะนำ Selective Buy โดยแนะนำหุ้นที่โมเมนตัมกำไรดี และ/หรือคาดประกาศผลการดำเนินงาน 2Q65 ออกมาดี ได้แก่  

 

  1. หุ้นที่คาดงบออกมาดี และมีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการกำไรหลังประกาศงบ 2Q65 เลือก BCP, AWC และ ERW 

 

  1. หุ้นที่คาด 2Q65 ผลการดำเนินงานจะออกมาดีกว่าตลาด เลือก HMPRO และ SCGP 

 

  1. หุ้นที่คาดผลดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำไรมีโมเมนตัมดีขึ้นตั้งแต่ 2Q65 รวมทั้ง Valuation ไม่แพง เลือก IVL, KCE, DELTA และ MTC 

 

ส่วนกลุ่มหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง หรือเพิ่มความระมัดระวังการลงทุน ได้แก่ 

 

  1. หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น กลุ่มปาล์ม (UVAN, UPOIC, VPO และ CPI), กลุ่มแป้งสาลีและแป้งมันสำปะหลัง (UBE, TMILL และ TWPC) หลังราคาปาล์มและข้าวสาลีจะยังอยู่ในทิศทางขาลง เนื่องจากปัญหาอุปทานขาดแคลนคลี่คลายลงหลังผลผลิตปาล์มของอินโดนีเซียและมาเลเซียออกสู่ตลาดมากขึ้น ทั้งวิกฤตอาหารโลกคาดเริ่มคลี่คลายจากที่ล่าสุดยูเครน-รัสเซียทำข้อตกลงส่งออกธัญพืชสำเร็จ 

 

  1. หุ้นที่คาดได้ผลกระทบทางอ้อมจากความเสี่ยงด้านนโยบายของประเทศคู่ค้าอย่างเมียนมาที่มีเพิ่มขึ้น เช่น CBG และ OSP 

 

  1. หุ้นที่มีโอกาสสูงจะโดนตลาดปรับลดประมาณการ หลังล่าสุดมีความเสี่ยงกดดันผลการดำเนินงานมากกว่าที่คาดไว้ เช่น ASP, MST, NRF, OSP และ DTAC เป็นต้น

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising