วิกฤตหนี้ครัวเรือน แบงก์เข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในไทยเข้าสู่ ‘ขาลง’ เกือบ 25% ในไตรมาสที่แล้ว และเป็นตัวเลขที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ล่าสุด เข้าสู่ไตรมาสที่ 2 เดือนเมษายน ก็ยังไม่มีสัญญาณฟื้น ร่วงลงอีก 21.49% ต่อเป็นเดือนที่ 11 ส่งผลให้ ส.อ.ท. อาจต้องเตรียมปรับเป้าลดการผลิตในประเทศลง พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลออกแคมเปญกระตุ้นซื้อรถยนต์สันดาป เช่นเดียวกับมาตรการกระตุ้นภาคอสังหา
วันนี้ (23 พฤษภาคม) สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การผลิตรถยนต์ทั้งหมดในเดือนเมษายน 2567 มีทั้งสิ้น 104,667 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2566 ที่ 11.02% จากการผลิตรถยนต์นั่งและรถกระบะเพื่อขายในประเทศที่ลดลง 5.03% และ 45.94%
สอดคล้องกับยอดขายที่ลดลง โดยในเดือนเมษายน 2567 มีจำนวน 46,738 คัน ลดลง 21.49% จากเดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ 24.34% นับเป็นตัวเลขยอดขายรถยนต์ในไทยที่ลดลงต่อเนื่อง 11 เดือนติดต่อกันแล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
สาเหตุหลักๆ มาจากหนี้ครัวเรือนไทยที่ยังคงพุ่งสูง 91% ของ GDP ส่งผลให้ธนาคารยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
ยอดขายในประเทศที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11
อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจขณะนี้อยู่ในสภาวะที่เติบโตในระดับต่ำ และความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ทำให้การใช้จ่ายการลงทุนของรัฐบาลลดลงมากจนทำให้ ‘กำลังซื้อ’ ของประชาชนอ่อนแอลง
และเป็นเหตุผลที่ทำให้ยอดขายรถยนต์ของไทยลดลงจากปีที่ผ่านมานานหลายเดือน จนตกไปอยู่ในอันดับ 3 รองจากประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย
ขณะที่ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือนเมษายน 2567 อยู่ที่ 70,160 คัน ลดลง 12.23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะการผลิตเพื่อส่งออกทำได้น้อย เนื่องจากจำนวนวันทำงานน้อยในเดือนเมษายน โดยมีมูลค่าส่งออก 69,274.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการส่งออกรถยนต์ไฮบริดที่มีมูลค่ามากขึ้น
จากปัจจัยข้างต้น เดือนหน้า ส.อ.ท. อาจปรับเป้าการผลิตรถยนต์ปี 2567 จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 1,900,000 คัน
“คงต้องรอดูอีกสัก 2 เดือนว่าจะปรับเป้าผลิตเท่าไร หรือจะปรับหรือไม่ เพราะยอดขายและยอดส่งออกลดลง ดังนั้นอาจผลิตได้ไม่ถึงเป้า อีกทั้งกำลังซื้อก็ยังไม่ฟื้น”
วอนรัฐบาลออกแคมเปญกระตุ้นยอดขายรถสันดาปเช่นเดียวกับภาคอสังหา
สุรพงษ์กล่าวอีกว่า เนื่องจากสำนักคาดการณ์เศรษฐกิจหลายสำนักมีการปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศไทยปีนี้ เศรษฐกิจชะลอและลดลงเหลือ 2.5-2.7% ประกอบกับยอดขายในประเทศที่ลดลงและการลดการผลิตในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังคงคาดหวังว่า ภายหลังจากที่แผนการลงทุนงบประมาณรัฐล่าช้ามา 6 เดือน
“ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้กระตุ้นการซื้ออสังหาริมทรัพย์ จึงอยากขอให้รัฐบาลช่วยกระตุ้นการซื้อรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์สันดาปภายในและรถกระบะที่ใช้ชิ้นส่วนผลิตในประเทศกว่า 90% ด้วย”
เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ก็มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องจำนวนไม่ต่างกับภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้อุตสาหกรรมเหล่านี้มีการผลิตเพิ่มขึ้น จ้างงานเพิ่มขึ้น ประชาชนมีงานทำมากขึ้น อีกทั้งหากรัฐบาลเก็บภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งสามารถเก็บภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ก็จะเป็นอีกทางช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในอีกทาง
โดยเฉพาะรัฐบาลควรเร่งหามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ หาแนวทางชำระหนี้ประชาชนให้มากขึ้น เพราะยอดขายในประเทศที่ลดลงต่อเนื่องในขณะนี้กำลังสะท้อนจากภาวะหนี้ครัวเรือนชัดเจน
