×

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ

30.12.2025
  • LOADING...
มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ

เศรษฐกิจไทย ในปี 2569 กำลังก้าวเข้าสู่บททดสอบครั้งสำคัญ ท่ามกลางมรสุมความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น ความไม่แน่นอนทางการเมือง นโยบายภาษีของสหรัฐฯ ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และปัญหาภายในประเทศ อย่างปัญหาเชิงโครงสร้าง และปัญหาหนี้ครัวเรือน

 

แม้ผู้เชี่ยวชาญจะมองว่าวิกฤตการเงินแบบปี 2540 จะไม่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือการที่ประเทศไทยกำลังติดอยู่ใน ‘กับดักศักยภาพต่ำ’ และ ‘โตต่ำกว่าศักยภาพ’

 

ร่วมเจาะลึกมุมมองจาก 17 ผู้เชี่ยวชาญและผู้นำทางธุรกิจ เพื่อวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงจะ ‘โอกาสในวิกฤต’ ได้อย่างไร

 

ศุภวุฒิ มองเศรษฐกิจปี 69 ยังไม่วิกฤต แต่ติดกับดัก ‘ศักยภาพต่ำ’ – ‘โตต่ำกว่าศักยภาพ’

 

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ประเมินภาพรวม GDP ของไทยในปี 2569 ว่าจะขยายตัวอยู่ที่ระดับเพียง 1.5% และอาจขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 2.3% ในปี 2570 โดยระบุชัดเจนว่า วิกฤตเศรษฐกิจ ในนิยามแบบปี 2540 หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่สถาบันการเงินล้มหรือทุนสำรองหมดนั้นจะไม่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือการที่เศรษฐกิจไทยโตช้าลงไปเรื่อยๆ จนสูญเสียโมเมนตัม

 

ดร.ศุภวุฒิ ยังเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า ประเทศไทยเคยมีแผนที่จะก้าวเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายใน 20 ปี แต่หากเศรษฐกิจโตเพียงระดับ 1% กว่าๆ เช่นนี้ อาจต้องใช้เวลาถึง 80 ปี ซึ่งหมายความว่าคนรุ่นปัจจุบันอาจไม่ได้เห็นภาพความสำเร็จนั้นในช่วงชีวิตของตนเอง

 

กับดักเศรษฐกิจไทย ‘ศักยภาพต่ำ’ – ‘โตต่ำกว่าศักยภาพ’

 

ประเด็นสำคัญที่สุดที่ ดร.ศุภวุฒิ เน้นย้ำคือโครงสร้างปัญหาของไทยที่มีความซับซ้อน 2 มิติ ดังนี้

 

1. ปัญหาศักยภาพของประเทศต่ำลง โดยปกติศักยภาพการเติบโตของไทยควรอยู่ที่ 3-4% แต่ปัจจุบันถูกกดดันจากสังคมสูงวัย อุตสาหกรรมเก่าถูก Disrupt, คุณภาพการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์ยุค AI และต้นทุนพลังงานที่แพงขึ้นจากการนำเข้า

 

2. ปัญหาการเติบโตจริงต่ำกว่าศักยภาพ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ตัวเลขคาดการณ์ GDP ปีหน้า ที่ระดับ 1.5-1.7% นั้น สะท้อนว่าประเทศไทยกำลังเติบโตต่ำกว่าขีดความสามารถที่ควรจะเป็นเสียอีก สาเหตุหลักหนึ่งมาจากภาวะเงินเฟ้อติดลบ ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจซบเซาจนแบงก์ไม่กล้าปล่อยกู้

 

จับตาปัจจัยเสี่ยงปี 69 ภาษีทรัมป์ – สุญญากาศการเมือง

 

สำหรับความท้าทายในปีหน้า ดร.ศุภวุฒิ ชี้เป้าไปที่ 3 ปัจจัยหลักที่กดดันเศรษฐกิจ

 

1. ประเด็นสงครามการค้าและภาษี ซึ่งสหรัฐฯ ภายใต้นโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ เก็บภาษีนำเข้าจากไทยเฉลี่ยสูงถึง 19% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่โดนกัน 14%

 

2. ความไม่แน่นอนทางการเมือง จากการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีบ่อยครั้ง และความไม่ชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หลังการเลือกตั้งช่วงต้นปีหน้า จะทำให้งบประมาณและการลงทุนภาครัฐในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2569 เกิดความล่าช้า

 

3. การลงทุนเอกชนชะงักงัน เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติและไทยต่างรอดูความชัดเจน ทั้งเรื่องข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ที่ไทยยังเจรจาไม่จบ ในขณะที่เพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียมีความคืบหน้าไปมาก ทำให้ไทยเสี่ยงเสียโอกาสดึงดูดฐานการผลิตใหม่ๆ

 

มองนโยบายการเงินและการคลัง ยังแก้ปวดไม่ตรงจุด

 

ในมุมมองของ ดร.ศุภวุฒิ นโยบายแจกเงินหรือมาตรการกระตุ้นระยะสั้น เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต หรือการพักหนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ การใช้นโยบายประชานิยมอาจทำให้ประชาชนพอใจชั่วคราว แต่ระยะยาวประเทศจะไม่เปลี่ยนแปลง

 

นอกจากนี้ ท่านยังมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจดำเนินนโยบาย Behind the curve หรือช้ากว่าสถานการณ์ โดยชี้ว่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องมา 15 ปี ไม่ใช่เพราะเก็งกำไรทองคำ แต่เป็นเพราะเงินเฟ้อไทยต่ำกว่าโลกมาก ซึ่งไทยเงินเฟ้อติดลบมาต่อเนื่องติดต่อกันหลายเดือน ขณะที่สหรัฐฯ เงินเฟ้อ 3% ทำให้ค่าเงินบาทเสื่อมค่าช้ากว่าดอลลาร์ ส่งผลให้บาทแข็งค่าโดยธรรมชาติ

 

ดร.ศุภวุฒิ ทิ้งท้ายด้วยว่า ในเวทีโลกขณะนี้นักลงทุนพูดถึงแต่ประเทศเศรษฐกิจและการลงทุนเวียดนามและอินโดนีเซีย ส่วนไทยกำลังตกเวที ทางออกคือการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 1

 

กฤษณ์ SCB ตั้งเป้าสินเชื่อเป็นบวก ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน

 

กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้าเชื่อว่ามีความท้าทายอยู่พอสมควร โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินตรงกันว่า GDP ไทยปี 2569 จะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 1.5% โดย กฤษณ์ มองว่า ความท้าทายคงจะมาจากทั้งปัจจัยภายนอกและในประเทศ

 

สำหรับปัจจัยภายนอกประเทศ ได้แก่ สงครามการค้า ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านที่ยังไม่คลี่คลาย รวมถึงโลกที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไทยยังปรับตัวช้า

 

ส่วนปัจจัยภายในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และโครงสร้างเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง นอกจากนี้ ไทยกำลังจะเข้าสู่ช่วงการเลือกตั้งครั้งใหม่

 

“ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ปีหน้าความท้าทายจะมาจากทุกทิศ ผมก็เชื่อว่า พวกเราทุกคน ทั้งภาคสถาบัน เอกชน และประชาชน ต้องร่วมมือกันก้าวผ่านให้ได้ ส่วนธนาคารพาณิชย์เองก็ต้องมีบทบาทอำนวยความสะดวกทั้งในมิติ การปล่อยสินเชื่อ และการให้ความรู้ทางการเงิน ถ้าวิกฤตหนี้มันเยอะ ปัญหามาเยอะ เราก็ต้องใช้ให้น้อย วางแผนการเงินให้เยอะ เราก็ต้องชวนประชาชนมาวางแผนการเงินให้เยอะขึ้น” กฤษณ์กล่าว

 

กฤษณ์ กล่าวย้ำว่า ในปีหน้า ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ยังคงตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อ ‘เป็นบวก’ โดยจะเน้นในภาคส่วนที่จะไปต่อได้ เช่น ธุรกิจที่ SCB รู้จักดี และธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากโลกาภิวัตน์

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 2

 

‘ฐากร’ แม่ทัพ ttb เปิด 3 ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยปี 69 คาด GDP โต 1.5-2%

 

ฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต (ttb) ให้สัมภาษณ์ THE STANDARD WEALTH ระบุว่า ความเสี่ยงและทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2569 โดยระบุว่า ภาคธนาคารมองเห็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ 3 ประเด็น ที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตลอดทั้งปี มีดังนี้

 

1. ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจ

 

ความเสี่ยงด่านแรกที่ต้องจับตาคือ ผลของการเลือกตั้ง และทิศทางทางการเมือง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยชะลอตัวและขาดการขับเคลื่อนอย่างจริงจังมาหลายปี จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรีบผลักดันนโยบายเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นโดยเร็ว

 

ฐากรชี้ว่า ประเด็นสำคัญอยู่ที่ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาล จะสามารถขับเคลื่อนนโยบายได้เร็วเพียงใด หากกระบวนการล่าช้าอาจเสียเวลาไปอีกถึง 6 เดือน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปีหน้า เนื่องจากการขับเคลื่อนนโยบายทำไม่ได้เต็มที่

 

2. สงครามและความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ

 

ปัจจัยภายนอกยังคงเป็นสิ่งที่น่ากังวล โดยเฉพาะความยืดเยื้อของการสู้รบในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนว่าจะออกมาในทิศทางใด จะจบลงด้วยการเจรจาหรือรูปแบบไหน ความไม่แน่นอนนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงสำคัญที่กดดันบรรยากาศเศรษฐกิจ

 

3. กับดักโครงสร้าง หนี้ท่วม-สังคมสูงวัย-รายได้ไม่โต

 

สิ่งที่น่ากังวลที่สุด และถือเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลชุดใหม่ คือปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทยและระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งฐากรมองเห็นองค์ประกอบที่น่าเป็นห่วง ดังนี้

 

  • ปัญหาภาระหนี้ครัวเรือน คนไทยยังคงแบกรับภาระหนี้ในระดับที่สูงมาก
  • ปัญหาโครงสร้างประชากร ไทยกำลังเผชิญกับภาวะสังคมผู้สูงอายุที่มีจำนวนมาก สวนทางกับอัตราการเกิดที่น้อยลง,
  • ปัญหาตลาดแรงงานเปราะบาง ปัญหาการเลิกจ้างและภาวะการจ้างงาน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการหารายได้

 

ฐากรขยายความว่า ปัจจัยเหล่านี้สัมพันธ์กันเป็นลูกโซ่ ตราบใดที่ไม่สามารถทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ภาระหนี้ก็จะยังคงสูงอยู่ เมื่อรายได้ไม่เพิ่ม คนก็ไม่สามารถกลับมาจับจ่ายใช้สอยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากที่สุดในเวลานี้

 

สำหรับการประเมินตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีหน้า ฐากรมองสอดคล้องกับหลายสำนักวิจัย โดยคาดการณ์ว่าจะขยายตัวอยู่ในกรอบ 1.5-2.% เท่านั้น

 

“ถ้าปี 69 ได้เห็นตัวเลข GDP ขยายตัวในระดับ 2% หากทำได้ก็คงจะเป็นข่าวดีมากแล้ว ซึ่งก็ถือเป็น Best Case” ฐากรกล่าว

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 3

 

ผยง KTB มองปี 2569 ปีแห่งการปรับตัว ท่ามกลางความวุ่นวาย

 

ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ว่า ปี 2568 เป็นปีแห่งความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) จากสหรัฐฯ และสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ไปจนถึงการยุบสภา ส่วนปี 2569 จะเป็นปีที่เหนื่อย และเติบโตช้า แต่ก็เป็นปีแห่งการปรับตัวเช่นกัน

 

โดยผยงกล่าวว่า “ปีหน้าเป็นปีของการปรับตัว ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโตต่ำเราจะปรับตัวได้แค่ไหน ตรงนั้นกลับเป็น Window of Opportunity”

 

พร้อมกล่าวต่อว่า ความวุ่นวายทั้งหลายอยู่ใน ‘สมการที่สามารถคาดคะเนได้’ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่มีการปรับตัวตาม Mega Trend อยู่แล้วเป็นปกติ ทั้ง Geopolitical Risk และ Climate Risk

 

สำหรับเป้าสินเชื่อปีหน้าของธนาคารกรุงไทยจะไม่โตมาก เพราะต้องอิงตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ซึ่งหลายสำนักประมาณการว่าจะโตเพียง 1.5-1.8% ในปี 2569

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 4

 

World Bank ผ่าทางรอดเศรษฐกิจไทย แนะ 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต

 

เมลินดา กู้ด (Melinda Good) ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจําประเทศไทยและประเทศเมียนมา กล่าวว่า เช่นเดียวกับทุกประเทศทั่วโลก เศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังเผชิญกับแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ระดับโลก (Global Mega Trends) ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีอุบัติใหม่ที่เข้ามาพลิกโฉมวิถีชีวิตเดิม นโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจน บริบทด้านพลังงานและสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนผัน

 

นอกจากนี้ ไทยยังได้วางเป้าหมายที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงภายในระยะเวลา 10-15 ปีข้างหน้า และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแสวงหาแนวทางในการเร่งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และใช้ประโยชน์จากแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงระดับโลกเหล่านี้ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับประเทศไทย ควบคู่ไปกับการสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่คนไทย เนื่องจาก การจ้างงานถือเป็นภารกิจสำคัญเร่งด่วนระดับโลกของกลุ่มธนาคารโลก เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นการลงทุนและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

กู้ดกล่าวต่อว่า World Bank กำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยและภาคธุรกิจภายใต้กรอบแนวคิดที่เรียกว่า ‘การสร้างอนาคตประเทศไทยตั้งแต่วันนี้’ (Building Thailand’s Future Today) โดยมีการนำเสนอ 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานสำหรับคนไทย ได้แก่

 

  • อุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง (Advanced Manufacturing)
  • บริการดิจิทัล (Digital Services)
  • ธุรกิจการเกษตร (Agribusiness)
  • การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ยั่งยืน (Sustainable Health Tourism)
  • เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)

 

“ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ถือเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันที่แท้จริงของประเทศไทย และเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะนำพาคนไทยไปสู่การมีงานทำที่ดีขึ้น เพิ่มปริมาณการจ้างงาน และยกระดับสู่งานที่มีมูลค่าสูงยิ่งขึ้น” เมลินดา กู้ด กล่าว

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 5

 

วิกรมย้ำ ดึงดูด FDI อุตสาหกรรมเทคขั้นสูงคือ ‘ทางออก’

 

วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานคณะกรรมการบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน กล่าวเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ว่า “เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ไม่ขยับไปไหน เพราะเราไปไม่ถูกทางที่ควรจะไป ในแง่ของการที่จะทำให้เกิดการลงทุน เราไม่มีอะไรที่จะดึงดูดการลงทุนเลย”

 

เพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2569 วิกรมจึงเสนอให้รัฐบาลผลักดันนโยบายที่เน้นการลงทุนเป็นหลัก เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ดั่งที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์, ดูไบ, จีน และเวียดนาม

 

โดยวิกรมเน้นว่าต้องเป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงที่ผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับสากล เพราะไทยจำเป็นต้องอาศัยการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ เนื่องจากตลาดไทยเล็กมาก เมื่อเทียบกับตลาดโลก

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 6

 

จรีพร WHA ชี้โอกาสธุรกิจ ในภาวะเศรษฐกิจโตต่ำ

 

จรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA บอกว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้า GDP คงจะโตต่ำลง แต่ไม่ใช่ว่าทุกธุรกิจจะแย่ลง แม้ว่าความเสี่ยงยังมีอยู่หลายด้าน “แต่ส่วนตัวสบายใจขึ้นหากเทียบกับช่วงแรกของการประกาศ Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ”

 

“ช่วงแรกกังวลว่า Tariff อาจนำไปสู่ Recession ที่รุนแรงได้ แต่เมื่ออัตราภาษีลดลงมาเหลือ 19% ก็คิดว่าดีขึ้นมาก”

 

สำหรับโอกาสทางธุรกิจ เชื่อว่า New Economy เช่น EV หรือ Semiconductor เป็นโอกาสสำหรับประเทศไทย เราต้องต่อยอดให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็ตระหนักถึงเรื่องนี้

 

อย่างไรก็ดี สำหรับคนไทยและธุรกิจต่างๆ ในเวลานี้และปีหน้า ควร “ทำตัวเบาอย่าเป็นหนี้เยอะ ทำธุรกิจต้องระมัดระวัง แต่ท่ามกลางข่าวไม่ดี มักจะมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ”

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 7

 

ส.อ.ท. เตือนไทยเสี่ยงร่วงสู่อันดับ 5 อาเซียนภายในปี 2030

 

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า “เศรษฐกิจไทย ปี 2569 จะชะลอลงอีก โตในกรอบ 1.6-2.0% จากปัญหาภายในรุมเร้า จีนยังไม่โตและภาษีของสหรัฐฯไม่นิ่ง การแข่งขันจากสินค้านำเข้าจะมากขึ้น ฉุดภาคการผลิต การจ้างงาน และ กำลังซื้อในประเทศเหมือน ‘รถติดหล่ม’ ที่ต้องการแรงกระตุ้นชุดใหญ่เพื่อดึงเศรษฐกิจให้ขยับขึ้นมา หากไทยไม่เร่งปรับ โอกาสที่ GDP จะหล่นจากอันดับ 2 ไปเป็นอันดับ 5 ในอาเซียนในปี 2030 มีความเป็นไปได้สูง ถือเป็นสัญญาณเตือนไทย ‘ต้องเปลี่ยนเกม’ อย่างจริงจังเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน”

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 8

 

หอการค้าฯ คาด GDP ปีหน้าโตชะลอที่ 1.7% เตือนกรณีเลวร้ายสุดอาจเหลือเพียง 0.9%

 

ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า “ปีหน้าเรามองว่า GDP จะโตแบบชะลอที่ 1.7% และก็มีความเสี่ยงที่จะโตเพียง 0.9% ซึ่งเป็นกรณีที่แย่ที่สุด หากการเจรจาอัตราภาษี Transshipment ของไทยปรับเพิ่มเป็น 60% และ ไทย-กัมพูชา มีการปิดด่านชายแดนต่อเต็มปี การเกิดภาวะสุญญากาศการเมืองอาจทำให้ GDP หายไป 1.3 แสนล้านบาท ที่สำคัญหนี้ครัวเรือนที่สูงอาจฉุดอีก 0.51%”

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 9

 

ดร.อัทธ์ ชำแหละสารพัดปัจจัยลบปี 2569

 

รศ. ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน กล่าวว่า “เศรษฐกิจไทยปี 2569 จะเป็นปีที่ยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน และคาดว่า GDP จะโตที่ 1.7% ต่ำสุดใน 5 ปี โดยครึ่งปีแรกจะเผชิญความไม่ชัดเจนทางการเมือง ความล่าช้าดีลค้าไทย-สหรัฐฯ กระทบต่อการลงทุนและความเชื่อมั่น โดยเฉพาะการสวมสิทธิ์ฉุดส่งออก ปัญหาทุนเทาที่แก้ไม่ตก มูลค่าหนี้ครัวเรือนไทยที่น่าห่วงซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียน”

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 10

 

สมาคมยานยนต์ ฝากความหวัง ‘รัฐบาลใหม่’ กำหนดทิศทางฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ

 

สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า “ปี 2569 อุตฯยานยนต์ยังทรงตัว ซึ่งต้องจับตาภาษีสหรัฐฯ และรัฐบาลใหม่ที่จะเปรียบเสมือนการเปลี่ยนตัวกัปตันทีม เข้ามาวางกลยุทธ์และกำหนดทิศทางเรือใหญ่ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ หากกัปตันมีแผนการเดินทางที่น่าเชื่อถือ ก็จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้โดยสาร (นักลงทุน) พร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน”

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 11

 

EXIM BANK ห่วงส่งออกปี 2569 หดตัว เสนอภาครัฐพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม เจาะตลาดโลก

 

ชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวเมื่อ 17 ธันวาคมว่า เศรษฐกิจในปี 2568 ค่อนข้างทรงตัวจากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) จากสหรัฐฯ ในช่วงต้นปี การส่งออกที่หดตัวในช่วงกลางปี ตลอดจนสถานการณ์น้ำท่วม และการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงปลายปี ซึ่งทำให้โรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งต้องหยุดชะงัก

 

เมื่อรวมผลกระทบจากหลายสถานการณ์เข้าด้วยกัน ชลัชคาดว่าในปี 2569 การส่งออกจะหดตัวลง ชลัชจึงเสนอให้ภาครัฐกระตุ้นการส่งออก ผ่านการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม รวมถึงหาวิธีนำเสนอสินค้าไทยสู่ตลาดโลก

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 12

 

ตัน ภาสกรนที เตือนเศรษฐกิจไทย ปี 2569 กำลังเข้าสู่ยุค ‘เผาแล้วเผาอีก’

 

ด้าน ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI แสดงความเห็นกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปี 2568 อาจเป็นปีที่ดีที่สุดของเศรษฐกิจ หากเปรียบเทียบกับความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วง 3–4 ปีข้างหน้า โดยประเมินว่านับจากนี้ไป ภาคธุรกิจจะต้องเผชิญกับแรงกดดันที่หนักหน่วงมากขึ้นทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ต้นทุนที่สูงขึ้น และกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่

 

โดยเปรียบเปรยถึงสถานการณ์ข้างหน้าว่า จะเป็นช่วงเวลาของการ ‘เผาแล้วเผาอีก’ หรือการเผาจริงที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมายถึงช่วงที่ธุรกิจจำนวนมากจะถูกคัดกรองอย่างเข้มข้น และเผชิญความยากลำบากลากยาวต่อเนื่อง

 

พร้อมยังชี้ให้เห็นว่าวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้มีลักษณะแตกต่างจากวิกฤตในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ หากย้อนกลับไปดูวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 จะพบว่าเป็นปัญหาที่กระทบประเทศไทยเป็นหลัก ขณะที่วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์หรือซับไพรม์ในปี 2551 แม้จะส่งผลในวงกว้าง แต่ก็ยังจำกัดอยู่ในบางประเทศหรือบางอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ

 

แต่วิกฤตปัจจุบันกลับมีลักษณะเป็นผลกระทบในระดับโลก เศรษฐกิจชะลอตัวแทบทุกภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศกำลังพัฒนา ยิ่งไปกว่านั้น วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้กระทบเฉพาะบางกลุ่ม หากแต่ส่งผลกระทบตั้งแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไปจนถึงประชาชนทั่วไป

 

“ขณะเดียวกัน ระยะเวลาของความยากลำบากก็ไม่ได้สั้น โดยประเมินว่า ภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวมอาจต้องเผชิญกับอุปสรรคต่อเนื่องอย่างน้อยอีก 2–3 ปี ก่อนจะเห็นสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน”

 

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะดูเปราะบางและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่มองว่า ไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะได้รับผลกระทบในทางลบเสมอไป กลุ่มที่มีแนวโน้มจะอยู่รอดหรืออาจได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว คือบริษัทที่มีฐานะทางการเงินแข็งแรง มีสภาพคล่องเพียงพอ ไม่ขยายธุรกิจเกินกำลัง และไม่มีภาระหนี้สินในระดับสูงจนเกินไป ธุรกิจเหล่านี้จะสามารถประคองตัวผ่านช่วงขาลง และมีความพร้อมมากกว่าคู่แข่งในการรับมือกับความผันผวน

 

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจที่สามารถมองเห็น โอกาสในยามวิกฤต เช่น ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) หรือบริษัทที่มีเงินสดและรอจังหวะเข้าซื้อทรัพย์สินด้อยคุณภาพ (NPL/NPA) ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เพื่อนำมาบริหารจัดการและสร้างผลตอบแทนในอนาคต เมื่อเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว

 

พร้อมแนะผู้ประกอบการรายย่อย (SME) และบุคคลทั่วไป ว่า หัวใจสำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้คือการประคองตัวให้อยู่รอด และการมีสติในการตัดสินใจ โดยเตือนว่าไม่ควรสร้างปัญหาใหม่เพื่อแก้ปัญหาเดิม โดยเฉพาะการหันไปกู้เงินนอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งสุดท้ายแล้วจะยิ่งซ้ำเติมสถานะทางการเงินและทำให้ไม่สามารถไปต่อได้ในระยะยาว

 

ส่วนในกรณีของธุรกิจ หากประเมินแล้วว่าไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างยั่งยืน ควรยอมถอยเพื่อรักษาตัว ไม่ว่าจะเป็นการลดขนาดธุรกิจ ลดเงินลงทุน เลิกกิจการ หรือหาหุ้นส่วนเพิ่มเติม เพื่อแบ่งเบาภาระและรักษาสภาพคล่องเอาไว้ก่อน ดีกว่าฝืนเดินหน้าจนขาดทุนสะสมหนักขึ้น

 

ขณะที่ในมิติของหนี้สินส่วนบุคคล หากผ่อนบ้านหรือผ่อนรถไม่ไหว ควรยอมปล่อยให้ถูกยึดตั้งแต่ต้น แทนที่จะไปกู้หนี้ยืมสินเพิ่มเติมเพื่อประคองทรัพย์สินเหล่านั้นไว้ เพราะท้ายที่สุดก็มีโอกาสสูงที่จะถูกยึดอยู่ดี โดยการตัดใจตั้งแต่แรกจะช่วยประหยัดเงินส่วนที่ต้องนำไปถมหนี้ และสามารถเก็บเงินสดไว้ใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีวิตในระยะยาวได้ดีกว่า และเมื่อเราผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากและมีเงินเหลือเพียงพอ ก็สามารถกลับไปซื้อทรัพย์สินเหล่านั้นคืนได้อีกครั้ง หรืออาจมีโอกาสซื้อทรัพย์ที่ใหญ่กว่าและเหมาะสมกับฐานะทางการเงินมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

 

ตัน ทิ้งท้ายว่า เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ช่วงถดถอยที่ทั้งรุนแรงและยาวนาน สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ไม่ใช่การเร่งขยายตัว แต่คือการรักษาสภาพคล่อง ไม่สร้างหนี้ใหม่โดยไม่จำเป็น และกล้าที่จะตัดใจทิ้งทรัพย์สินหรือธุรกิจบางส่วน เพื่อรักษาการดำรงชีวิตและความมั่นคงทางการเงินในภาพรวมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 13

 

ประสิทธิ์ CPF เชื่อปี 2569 เศรษฐกิจไทยจะมีแต่ดีขึ้น

 

ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ว่า ในปี 2569 แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นจากปี 2568 โดยการเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยหลักในการสนับสนุนเศรษฐกิจ

 

ส่วนการลงทุนภาคเอกชน ประสิทธิ์ชี้ว่าปี 2568 นับเป็นปีที่แย่ที่สุด และเชื่อว่าจากนี้มีแต่จะดีขึ้น เนื่องจากความชัดเจนต่างๆ จะมีมากขึ้น ทั้งผลการเลือกตั้งในประเทศ และการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐที่คาดว่าจะบรรลุในปี 2569

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 14

 

ซีอีโอ LINE MAN Wongnai หวังเศรษฐกิจสดใสขึ้นในปี 2027

 

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ได้เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ว่า เมื่อมองภาพรวมของเศรษฐกิจ ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ท้าทายมาก โดยมีลักษณะแบบ ‘หัวดี ท้ายดี แต่ตรงกลางเป็นท้องช้าง’

 

กล่าวคือ เริ่มต้นปีได้ดีและช่วงปลายปีจะดีขึ้นจากโครงการคนละครึ่งพลัส แต่ช่วงไตรมาส 2 และ 3 ไม่ค่อยดีนักเนื่องจากปัจจัยภายนอก เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยหากเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว ปีนี้ถือว่ามีความท้าทายสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด.

 

สำหรับแนวโน้มในปีหน้า คาดว่าเศรษฐกิจจะยังคงเผชิญกับปัจจัยกดดันในหลายด้าน ทั้งเรื่องความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยว และการไหลออกของเงินลงทุนต่างชาติไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาที่เติบโตเร็วในกลุ่ม AI ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนในไทยลดลง

 

แม้กำลังซื้อจะยังเปราะบางและไม่มีปัจจัยหนุนที่ชัดเจน แต่ในฐานะธุรกิจ Food Delivery ซึ่งเป็นบริการพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการกินอยู่ LINE MAN Wongnai ยังคงคาดการณ์การเติบโตได้

 

“เรามุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจให้ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขที่จำกัดนี้ และคาดหวังว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอาจจะเริ่มมีทิศทางที่สดใสขึ้นในปี 2027” ยอดระบุ

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 15

 

แม่ทัพใหญ่ TCP ชี้เศรษฐกิจปีหน้าประเมินยาก! หวั่นการเมืองเกิดสุญญากาศนโยบายหลังเลือกตั้ง

 

สราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปี 2568 นับเป็นอีกหนึ่งปีที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญความท้าทายในระดับสูง ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเต็มไปด้วยความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเศรษฐกิจ และทิศทางนโยบายในหลายประเทศ

 

ภายใต้บริบทดังกล่าว บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการประคองธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยมุ่งรักษาเสถียรภาพในระยะสั้นควบคู่ไปกับการวางรากฐานและเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดรับโอกาสใหม่ในปี 2569

 

พร้อมยอมรับว่า หากพิจารณาในมิติของยอดขาย ปีนี้อาจไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากแรงกดดันจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยนัก แต่แทนที่จะเลือกเร่งการเติบโตเพียงอย่างเดียว กลุ่มธุรกิจ TCP กลับใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นโอกาสในการกลับมาทบทวนและปรับโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์กรในหลายมิติ ทั้งกระบวนการทำงาน ระบบบริหารจัดการ และการเตรียมทรัพยากร เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในระยะยาว และสร้างความพร้อมในการรองรับโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆที่อาจเกิดขึ้นเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวยมากขึ้น

 

สำหรับภาพรวมความท้าทายในปีถัดไป มองว่าสถานการณ์ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง โดยโอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวหรือชะลอลงยังอยู่ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน หรือราวครึ่งต่อครึ่ง ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่สุดยังคงเป็นทิศทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งในปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องยากต่อการคาดการณ์

 

อย่างไรก็ตาม หากไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน มองว่าสัญญาณในช่วงปลายปีที่ผ่านมาเริ่มสะท้อนภาพที่ดีขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงต้น และมีความเป็นไปได้ที่โมเมนตัมเชิงบวกดังกล่าวจะต่อเนื่องไปถึงปีหน้า

 

ส่วนทิศทางและกลยุทธ์ของกลุ่ม TCP จะเน้นเติบโตหลายด้าน ซึ่งหมายถึงการไม่พึ่งพาเสาต้นเดียว ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าให้กลุ่มลูกค้าเดิมๆ, การมีซัพพลายเออร์เพียงรายเดียว หรือการมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ถูกผูกขาด โดยธุรกิจในไทยต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับประชากรศาสตร์ เนื่องจากสังคมไทยมีการเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging Society) โดยกลุ่ม Gen X และ Gen Y เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของประเทศไทย

 

โดยได้ยกตัวอย่างการสร้างความหลากหลายของสินค้าในกลุ่มธุรกิจ TCP โดยสินค้าประเภทเครื่องดื่มมีการปรับลดปริมาณน้ำตาลและเพิ่มประสบการณ์ต่างๆ ให้ผู้บริโภคที่ต้องการสุขภาพดีขึ้น อีกทั้งยังมีการสร้างแบรนด์ Ready เพื่อเป็น Energy Drink สำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ (ปัจจุบันเป็นอันดับ 1 ในไทย) หลังพบ Pain Point ว่า ผู้บริโภคกลุ่มผู้หญิงรู้สึกว่า กระทิงแดง (Red Bull) ไม่ใช่สินค้าสำหรับตนเอง ทำให้ต้องเปลี่ยนโฉม บรรจุภัณฑ์ และรสชาติใหม่ทั้งหมด เป็นต้น

 

ขณะเดียวกัน ภายใต้ความไม่แน่นอนดังกล่าว องค์กรยังต้องบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ โดยเตรียมความพร้อมรองรับไว้ในสองสถานการณ์ หากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น บริษัทต้องพร้อมเดินหน้าและเร่งขยายโอกาสทางธุรกิจทันที แต่ในอีกด้านหนึ่ง หากสถานการณ์เกิดการพลิกผันหรือเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม ก็ต้องสามารถชะลอจังหวะ ตั้งหลัก และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที

 

สราวุฒิยังทิ้งท้ายถึงปัจจัยทางการเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้งในต้นปี 2569 ซึ่งโดยปกติแล้วช่วงการเลือกตั้งมักช่วยสร้างความคึกคักให้กับระบบเศรษฐกิจ และจะส่งผลเชิงบวกต่อบรรยากาศการใช้จ่ายในช่วงไตรมาสแรกของปี

 

แต่สิ่งที่ภาคธุรกิจคาดหวังมากที่สุด คือ กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสามารถขับเคลื่อนการทำงานของภาครัฐได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะสุญญากาศทางนโยบาย ซึ่งหากกระบวนการดังกล่าวยืดเยื้อเกินความจำเป็น อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของระบบราชการและความเชื่อมั่นของภาคเศรษฐกิจ

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 16

 

PROUD ห่วงการเมือง-หนี้ครัวเรือนฉุดไทย แนะรัฐสร้างเสถียรภาพด่วน

 

พราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD มองว่าโอกาสและความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยปี 2569 ความเสี่ยงอันดับแรกคือ เสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนให้การจับตามอง สิ่งสำคัญคือต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนในประเทศ

 

สำหรับความเสี่ยงในมุมผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ คือ ภาคอสังหาริมทรัพย์พึ่งพาการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะดีมานด์ในประเทศที่ปัจจุบันซบเซาลง จากปัญหาหนี้ครัวเรือน เหลือเพียงกลุ่มลูกค้าระดับบน ทำให้ทุกคนลงมาเล่นตลาดลักชัวรีกันหมด

 

ตอนนี้โอกาสของอสังหาริมทรัพย์ คือ ตลาดต่างชาติ สิ่งที่ไทยต้องทำคือ รักษาจุดแข็งการเป็นเมืองท่องเที่ยวให้ได้ รวมถึงแก้ปัญหาความยั่งยืนควบคู่กันไป ต้องเปลี่ยนโฟกัส ไม่ใช่แค่เน้นจำนวนนักท่องเที่ยว ให้ได้ปีละ 40-50 ล้านคน แต่ต้องสร้างมูลค่าเพิ่มจากการท่องเที่ยว ยิ่งจำนวนคนน้อย แต่มีกำลังใช้จ่ายสูงจะทำให้ประเทศไทยใช้ทรัพยากรน้อยลง นอกจากนี้ภาคเอกชนก็จะต้องยอมเสียสละกำไรในระยะสั้นบางส่วน เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวให้ยั่งยืนในระยะยาว

 

ด้านรัฐบาลต้องออกกฎหมายบังคับให้เอกชน มีส่วนร่วมทำการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกำลังจ่ายสูง ส่งเสริมความสามารถการแข่งขันด้วยการขยายสนามบิน เพิ่มเส้นทางการบินที่มีศักยภาพ สนับสนุนเงินทุนและให้ incentive

 

ด้วยความที่ประเทศไทยมีโรงเรียนนานาชาติเยอะจึงมีโอกาสเป็น International Hub เหมือนสิงคโปร์ ฮ่องกง เพื่อรองรับกลุ่มคนที่เดินทางมาทำธุรกิจ

 

ด้วยการปฏิรูประบบใน 3 เรื่อง

 

1. ปฏิรูปกระบวนการขอวีซ่า ให้เข้าใจง่าย และลดความซับซ้อนของขั้นตอน

 

2. ปฏิรูประบบภาษี ทั้งภาษีนิติบุคคล และภาษีบุคคลธรรมดา ออกแบบสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อดึงดูดแรงงานทักษะสูง และมีกำลังใช้จ่ายสูง

 

3. เพิ่มสิทธิ์การถือครองอสังหาริมทรัพย์ให้ชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่มีการหารือร่วมกันมาตลอด

 

มุมมอง ‘เศรษฐกิจไทย ปี 2569’ จาก 17 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้นำธุรกิจ 17

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising