×

ไทยเตรียมเก็บภาษีคาร์บอนเป็นประเทศที่ 2 ของอาเซียน ต่อจากสิงคโปร์ เร็วสุดสิ้นปีนี้

05.06.2024
  • LOADING...
Carbon Tax

HIGHLIGHTS

  • กรมสรรพสามิตเล็งเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ในปีงบประมาณ 2568 เร็วสุดสิ้นปีปฏิทินนี้
  • ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ 2 ของอาเซียน ต่อจากสิงคโปร์ ที่เริ่มเก็บภาษีดังกล่าว
  • เบื้องต้นคาดว่าจะเก็บอัตรา 200 บาทต่อตัน (ราว 6 ดอลลาร์ต่อตัน)
  • ขณะที่ IMF ชี้ว่า ราคาคาร์บอนควรจะต้องอยู่ที่ประมาณ 75 ดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 หากจะจำกัดภาวะโลกร้อน ‘อย่างมีประสิทธิภาพ’ 
  • ด้าน TDRI แนะตั้งกองทุน Green Transition & Adaptation สำหรับบริหารจัดการรายได้ที่ได้จากเก็บภาษีคาร์บอน โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

กรมสรรพสามิตเล็งเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) เร็วสุดปลายปีนี้ ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ 2 ของอาเซียน ต่อจากสิงคโปร์ สำหรับอัตราเบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ 200 บาทต่อตัน หรือไม่ถึง 6 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งเป็นระดับที่ IMF มองว่า ‘ต่ำเกินไป’ ที่จะช่วยลดการปล่อยมลพิษลงได้

 

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เผยว่าเตรียมเริ่มเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) คาดเร็วสุดจะเริ่มเก็บในช่วงปลายปีนี้ หรือภายในปีงบประมาณ 2568 (ซึ่งเริ่มในเดือนตุลาคม 2567) ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ 2 ของอาเซียน ต่อจากสิงคโปร์ ที่เริ่มเก็บภาษีคาร์บอน โดยในระยะแรกจะเริ่มเก็บจากสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่เชื่อมโยงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อน

 

ยืนยันระยะแรกประชาชน ‘ไม่ได้’ รับผลกระทบ

 

อธิบดีกรมสรรพสามิตยืนยันว่า ในระยะแรกการเก็บภาษีคาร์บอนนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน เนื่องจากเป็นการแปลงภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่เก็บอยู่แล้วปัจจุบันให้ไปผูกติดกับภาษีคาร์บอน

 

ทั้งนี้ ปัจจุบันกรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีจากน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 6.44 บาทต่อลิตร และเก็บภาษีจากน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 6.50 บาทต่อลิตร 

 

ดร.เอกนิติ ยังอธิบายต่อว่า การแปลงภาษีดังกล่าวเป็นการแก้กฎหมายชั้นกฎกระทรวงเท่านั้น ทำให้จำเป็นต้องผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องออกเป็น พ.ร.บ.ใหม่ เหมือนกับที่กรมสรรพสามิตเคยเปลี่ยนวิธีการเก็บอัตราภาษีรถยนต์จากอิงตามกระบอกสูบ เป็นอิงตามคาร์บอนที่ปล่อยออกมาแทน

 

ทั้งนี้ ดร.เอกนิติ เปิดเผยว่า น้ำมันดีเซล 1 ลิตร ปล่อยคาร์บอน 0.0026987 ตันคาร์บอน ขณะที่น้ำมันเบนซิน 1 ลิตร ปล่อยคาร์บอน 0.0021816 ตันคาร์บอน

 

ไทยเตรียมเก็บ ‘ภาษีคาร์บอน’ ในอัตราเท่าไร?

 

อธิบดีกรมสรรพสามิตเปิดเผยอีกว่า สำหรับอัตราเบื้องต้นที่เสนอรัฐมนตรีไปอยู่ที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอน ซึ่งนับว่าใกล้เคียงกับสิงคโปร์ที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน

 

IMF มอง ‘ภาษีคาร์บอน’ เอเชียต่ำเกินไปที่ช่วยโลกได้

 

ก่อนหน้านี้ คริสตาลินา จอร์จีวา ผู้นำกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เคยระบุว่า ราคาคาร์บอนควรจะต้องอยู่ที่ประมาณ 75 ดอลลาร์ต่อตัน (หรือราว 2,745 บาทต่อตัน) ภายในปี 2030 หากต้องการจะจำกัดภาวะโลกร้อน ‘อย่างมีประสิทธิภาพ’ จากราคาเฉลี่ยปัจจุบันที่ 6 ดอลลาร์ต่อตัน (หรือราว 220 บาทต่อตัน)

 

ขณะที่ในข้อตกลงราคาคาร์บอนระหว่างประเทศ (International Carbon Price Floor Agreement: ICPF) เสนอให้กำหนดราคาคาร์บอนขั้นต่ำที่ 25 ดอลลาร์ต่อตันสำหรับประเทศรายได้ต่ำ (Low-Income Countries) และ 50 ดอลลาร์สำหรับประเทศรายได้ปานกลาง (Middle-Income Countries) และ 75 ดอลลาร์สำหรับประเทศรายได้สูง (High-Income Countries) เพื่อให้เกิดความยุติธรรมมากขึ้น

 

อย่างไรก็ดี ราคาคาร์บอนในตลาดคาร์บอนและภาษีคาร์บอนของประเทศในเอเชียส่วนใหญ่กลับอยู่ในระดับ ‘ต่ำ’ และไม่สามารถสร้างผลกระทบ ‘อย่างมีนัยสำคัญ’ ต่อการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้

 

โดยญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศแรกในภูมิภาคที่เรียกเก็บภาษีคาร์บอนในปี 2012 กำหนดให้เก็บภาษีไว้ที่ 289 เยน (ราว 2 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 1 ตัน

 

ส่วนภาษีคาร์บอนของสิงคโปร์ ปัจจุบันอยู่ที่ 5 ดอลลาร์สิงคโปร์ (หรือราว 3.7 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อตัน อย่างไรก็ดี สิงคโปร์เตรียมที่จะปรับเพิ่มภาษีคาร์บอนเป็น 25 ดอลลาร์ต่อตันในปี 2024

 

ขณะที่จีนและเกาหลีใต้ก็มีระบบ ETS แล้ว โดยมีราคาซื้อขายอยู่ที่ราว 11 ดอลลาร์ต่อตัน และกว่า 20 ดอลลาร์ต่อตัน ตามลำดับ

 

ในส่วนประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และปากีสถาน มีการวางแผน หรือกำลังพิจารณาที่จะสร้างเครื่องมือกลไกราคาคาร์บอนทั้งแบบการซื้อขายและการเก็บภาษี

 

ทั้งนี้ ระบบการซื้อขายใบอนุญาตการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme: ETS) เป็นกลไกทางการตลาดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งรัฐหรือผู้มีอำนาจกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาพรวม และจัดสรร (Allocation) ‘สิทธิ’ ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แก่องค์กรที่อยู่ภายใต้ระบบ

 

 

 

มาตรการภาษีคาร์บอนของไทย ‘ระยะแรก’ มีข้อดีอย่างไร?

 

  1. กำหนดราคาคาร์บอนไม่ให้ต่ำเกินไป

 

ดร.เอกนิติ ระบุอีกว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเครื่องมือกลไกราคาคาร์บอน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบ ‘ภาคสมัครใจ’ เท่านั้น ทำให้ราคาต่ำมาก ดังนั้น การเก็บภาษีดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยมีราคาคาร์บอน (Carbon Price) ที่รัฐเป็นคนกำหนดขึ้น

 

  1. ช่วยทำให้ไทยบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ถึง Net Zero

 

ดร.เอกนิติ กล่าวอีกว่า ไทยได้ประกาศเป้าหมายว่า ภายในปี 2030 จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30-40% จากการดำเนินการตามปกติ เพื่อจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 

 

อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน ไทยมีเครื่องมือกลไกราคาคาร์บอนแบบ ‘ภาคสมัครใจ’ เท่านั้น และจะไม่มีกลไกคาร์บอน ‘ภาคบังคับ’ จนกว่าตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (TH ETS) จะเกิดขึ้นในปี 2029

 

ดังนั้น การที่กรมสรรพสามิตตั้งภาษีคาร์บอนขึ้นมาก็จะเป็นการสนับสนุนกลไกในทางหนึ่งได้ เนื่องจากปัจจุบันไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 372 ล้านตันคาร์บอนต่อปี โดยราว 70% ของการปล่อยนี้มาจากภาคพลังงานและขนส่ง ซึ่งสินค้าจาก 2 ภาคส่วนนี้เป็นสินค้าที่กรมสรรพสามิตจัดเก็บอยู่แล้ว เช่น ผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลและเบนซิน 

 

  1. หวังลดภาระผู้ประกอบการไทย รับมือ CBAM

 

อธิบดีกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า ขณะนี้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกำลังทำงานร่วมกับกรมสรรพสามิต เพื่อเข้าไปเจรจากับสหภาพยุโรป (EU) ที่เตรียมบังคับใช้มาตรการ CBAM อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2026 นี้ เกี่ยวกับการยอมให้นำการชำระภาษีคาร์บอนของไทยไปหักลบได้

 

ทั้งนี้ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ของสหภาพยุโรป เป็นการเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสีเขียวเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ของ EU โดยสินค้า 5 กลุ่มแรกที่มีความเสี่ยงสูงต่อการรั่วไหลของคาร์บอนสูง ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย และอะลูมิเนียม

 

ดร.เอกนิติ เปิดเผยอีกว่า ในระยะที่ 2 (Phase II) ระหว่างปี 2027-2028 อาจเริ่มขยายการเก็บภาษีคาร์บอนไปยังผลิตต้นน้ำต่างๆ ขณะที่ในระยะที่ 3 (Phase III) ระหว่างปี 2029-2023 อาจมีการปรับขึ้นราคาคาร์บอนเพื่อให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม และให้สอดคล้องกับระบบ ETS

 

 

 

เปิดข้อเสนอจาก TDRI ต่อภาษีคาร์บอนไทย

 

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้แสดงแนวทางการจัดการปัญหาคาร์บอนของประเทศไทย ในงาน EARTH JUMP 2024: The Edge of Action ที่จัดโดยธนาคารกสิกรไทย โดยแนะนำว่า ภาษีคาร์บอนเหมาะสมกับประเทศไทย ‘มากกว่า’ ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme: ETS) 

 

ด้วยเหตุผลต่างๆ ได้แก่ รัฐบาลมีกลไกการดำเนินการเก็บภาษีอยู่แล้วจากทางฝั่งกรมสรรพสามิต ไม่ต้องสร้างตลาดรองสำหรับการซื้อขายการปล่อยก๊าซคาร์บอน อีกทั้งภาคธุรกิจสามารถวางแผนได้ง่ายเพราะรู้ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาได้อย่างแน่ชัด นอกจากนี้นานาชาติก็จะให้การยอมรับได้ง่าย

 

เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้แนวทางการจัดเก็บภาษีคาร์บอน ดร.สมเกียรติ เสนอว่า ประเทศไทยควรใช้ภาษีคาร์บอน 2 ระบบ 

 

  1. ภาษีส่งออกคาร์บอนในสาขา CBAM

 

โดยประเทศไทยควรจะเก็บภาษีส่งออกคาร์บอนจากโรงงานผลิตสินค้าในตลาด CBAM ก่อนจะส่งออกสินค้า และควรเก็บภาษีในอัตราสูงใกล้เคียงกับราคาคาร์บอนในตลาด CBAM 

 

เนื่องจากนอกจากภาครัฐจะได้รายได้จากการเก็บภาษีแล้ว ผู้ประกอบการที่ต้องส่งสินค้าไปค้าขายยังตลาด CBAM ก็จะไม่ต้องเสียภาษีคาร์บอนซ้ำซ้อนในอัตราที่สูงกว่า

 

อีกทั้งการเสียภาษีคาร์บอนให้กับประเทศไทยก่อนส่งออกสินค้ายังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อสินค้าในต่างประเทศในการจัดการปัญหาคาร์บอนอีกด้วย

 

  1. ภาษีคาร์บอนพลังงาน 

 

โดยจะเป็นการเก็บภาษีจากโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและผู้ค้าน้ำมันตลอดจนสินค้านำเข้าในบางอุตสาหกรรม โดยเก็บตามปริมาณคาร์บอนในเชื้อเพลิง ซึ่งอาจเริ่มจากอัตราภาษีต่ำ ก่อนจะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีจุดประสงค์หลักเพื่อจูงใจให้ลดการปล่อยคาร์บอนและสร้างรายได้ให้แก่ภาครัฐ

 

ไทยจะได้รับผลกระทบอะไรจากแนวทางเก็บภาษีดังกล่าว 

 

ดร.สมเกียรติ ระบุว่า หากประเทศไทยมีอัตราการเก็บภาษีเริ่มต้น 5 ดอลลาร์ต่อตันคาร์บอน จะสามารถสร้างรายได้ปีละ 3 หมื่นล้านบาท โดยจะส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.1% ราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1.4% และราคาค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 1.8% แต่จะทำให้ปริมาณการปล่อยคาร์บอนลดลง 1.1 ล้านตันต่อปี หรือราว 0.4%

 

นอกจากนี้ ดร.สมเกียรติ ยังเสนอว่า รัฐไม่ควรให้เงินอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลอีก เพราะจะไม่จูงใจให้ผู้คนหันมาประหยัดพลังงาน อีกทั้งยังปล่อยมลพิษสูง

 

ท้ายที่สุด ดร.สมเกียรติ ยังเน้นย้ำว่า ควรตั้งกองทุน Green Transition & Adaptation Fund สำหรับบริหารจัดการรายได้ที่ได้จากเก็บภาษีคาร์บอน โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น คนทำงานกลางแจ้ง และช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในการปรับตัว และไม่ควรนำรายได้ดังกล่าวส่งให้กับกระทรวงการคลัง เนื่องจากรัฐบาลอาจนำเงินดังกล่าวไปใช้กับนโยบายแจกเงินและการใช้หนี้ของภาครัฐ

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X