วันนี้ (15 ธันวาคม) ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USDTHB) เคลื่อนไหวแตะระดับ 31.41 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดใหม่ (New Low) ของปีนี้ และเป็นระดับที่แข็งค่าหนักสุดในรอบราว 4 ปีครึ่ง (ตั้งแต่มิถุนายน 2564)
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH เงินบาทที่แข็งค่าในช่วงนี้ ‘แข็งค่าเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้’ โดยก่อนหน้านี้ กรุงไทยมีการคาดการณ์ว่า ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USDTHB) ในช่วงสิ้นปีจะอยู่ที่ประมาณ 31.85 บาท (+/- 25 สตางค์) โดยไม่ได้คาดหวังว่าเงินบาทจะทำระดับต่ำสุดใหม่ได้ง่ายๆ
กรุงไทยฯ เปิดปัจจัยที่สนับสนุนให้เงินบาท ‘แข็งค่า’
พูนมองว่า การแข็งค่าของเงินบาทส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของ ‘ราคาทองคำ’ ที่มีโอกาสทำราคาสูงสุดใหม่ตลอดกาลอีกครั้ง (All Time High) โดยการเคลื่อนไหวนี้สูงกว่าที่ Krungthai GLOBAL MARKETS คาดการณ์ไว้สิ้นปีที่ราว 4,150 ดอลลาร์ โดยหากราคาทองคำยังคงไปต่อก็จะเป็นความเสี่ยงที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้ยาก
ทั้งนี้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ในวันนี้ เคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับ 4,340 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นกว่า 65% ตั้งแต่ต้นปี (YTD)
โดยพูนมองว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำรอบนี้ มาจากหลายประเด็นได้แก่ ภาวะที่นักลงทุนเข้าสู่โหมดปิดความเสี่ยง (Risk-off ) หุ้นธีม AI แนวโน้มดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) การดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ในปีหน้า ซึ่งจะมีประธาน (Fed Chair) คนใหม่และทีมงานใหม่ รวมถึงเรื่องฐานะการคลังของสหรัฐฯ
พูนยังเปิดเผยว่า แม้ในช่วงก่อนหน้านี้ ค่าความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับเงินบาท (Correlation) เคยลดลงไปมากเหลือเพียง 0.2 ปัจจุบันได้กลับมาสูงขึ้นอยู่ที่มากกว่า 0.4 (จากค่าเฉลี่ย 1 ปีที่ราว 0.63-0.64) ดังนั้น ความสัมพันธ์ยังคงเป็นแนวที่ทองคำขึ้น บาทก็จะแข็งค่าได้
นอกจากนี้ พูนยังมองว่า มีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าคือ การอ่อนค่าของดอลลาร์ การเพิ่มสถานะ Short (USD/THB) ของนักลงทุน รวมถึงเห็นโฟลว์การซื้อของผู้นำเข้า (Importer) ท่ามกลางค่าเงินเยนที่อ่อนค่า และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมาเยอะ
โดยในวันนี้ ดัชนีดอลลาร์ (DXY Index) เคลื่อนไหวอยู่ระดับราว 98 หรืออ่อนค่ากว่า 9.40% ตั้งแต่ต้นปี (YTD)
‘การเมืองไทย’ มีผลต่อเงินบาทมากแค่ไหน?
พูนกล่าวต่อว่า สถานการณ์การเมือง เช่น การยุบสภา หรือความขัดแย้งอื่นๆ จะมีผลกระทบต่อค่าเงินบาทน้อยมาก เนื่องจาก นักลงทุนมองว่า เหตุการณ์ต่างๆ อาจจะไม่นำไปสู่เหตุการณ์ความวุ่นวาย
โดยแม้ว่า ในช่วงที่มีความวุ่นวายของสงครามไทยและกัมพูชารุนแรงขึ้น หรือมีการยุบสภา จะเห็นการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) โดยเฉพาะแรงขายหุ้นบ้าง แต่ในตลาดบอนด์ ซึ่งไม่รวมบอนด์ที่ครบกำหนดไถ่ถอนแล้ว กระแสเงินทุนในตลาดบอนด์น่าจะเป็นการซื้อสุทธิ
กนง. ลดดอกเบี้ยไม่น่าช่วยดันบาทอ่อนค่ามากนัก
พูนกล่าวต่อว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบสุดท้ายของปีนี้ ในวันที่ 17 ธันวาคม ตลาดคาดว่า กนง.จะมีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลง อย่างไรก็ตาม พูนมองว่า การลดดอกเบี้ยจะไม่ช่วยทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงมากนัก
เนื่องจากสถิติที่ผ่านมา การลดดอกเบี้ยแบบเซอร์ไพรส์ช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลงเพียงครั้งเดียว ส่วนครั้งที่เหลือแทบไม่มีผล
“เงื่อนไขที่เงินบาทจะอ่อนค่าอย่างชัดเจน คือ กนง.จะต้องลดดอกเบี้ยแบบ ‘เซอร์ไพรส์’ หรือ ‘Aggressive’ ไปเลย เช่น ต้องมีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าสถานการณ์ทุกอย่างดูแย่มาก และต้องตัดประโยคความกังวลเกี่ยวกับ Policy Space ต่างๆ ออกไป เพราะหากยังกังวลเรื่อง Policy Space อยู่แปลว่า การลดดอกเบี้ยจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและลดไม่เยอะ”
ดังนั้น พูนจึงมองว่า หลังการประชุมกนง. จึงยังความเสี่ยงที่เงินบาทจะแข็งค่าต่อได้ จากการที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาซื้อบอนด์ไทย
บาทจะแข็งต่อไปอีกมากแค่ไหน?
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย ให้กรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 31.00-32.00 บาทต่อดอลลาร์
พร้อมมองว่า ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ถือเป็นแนวรับสำคัญแล้ว โดยเงินบาทจะแข็งค่าหลุดระดับ 31.50 ต่ออีกนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่า การแข็งค่าเป็นปัจจัยเฉพาะตัว หรือปัจจัยร่วมกันทั้งโลก
โดยถ้าการแข็งค่าของเงินบาทเป็นปัจจัยร่วมทั้งโลก การแข็งค่าก็อาจจะอยู่นาน ตามดอลลาร์หรือทองคำ


