ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (5 พฤษภาคม) ที่ระดับ 34.04 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.53 บาทต่อดอลลาร์ (จากระดับปิด ณ วันที่ 3 พฤษภาคม)
ตลาดการเงินพลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk-On) หลัง Fed ไม่ได้ส่งสัญญาณเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดอย่างที่ตลาดได้กังวลในช่วงก่อนหน้า โดย Fed มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ตามคาด และประกาศแผนการลดงบดุลเดือนละ 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายน ก่อนที่จะเพิ่มอัตราการลดงบดุลเป็น 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนในเดือนกันยายน
นอกจากนี้ ประธาน Fed ได้ส่งสัญญาณว่าFed อาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยไปมากอย่างที่ตลาดกังวลในช่วงก่อนหน้า ทั้งนี้ ประธาน Fed บุว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยราว 0.50% ในการประชุมครั้งถัดๆ ไป เพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ Fed ความสำคัญในตอนนี้
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า แรงหนุนจากการคลายความกังวลของ Fed ที่จะเร่งขึ้นดอกเบี้ย ได้ส่งผลให้ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นเทค Nasdaq พุ่งขึ้นถึง +3.19% ส่วนดัชนี S&P 500 ปิดตลาด +2.99% ซึ่งนับเป็นการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังรับรู้ผลการประชุม Fed ที่ร้อนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี
อย่างไรก็ดี เรามองว่าทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะขึ้นอยู่กับแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนด้วย โดยหากรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนทยอยออกมาดีกว่าคาด ก็อาจช่วยหนุนให้ตลาดมีการรีบาวด์ได้ในระยะสั้น แต่ทว่าปัจจัยสำคัญที่ต้องระวังคือ การทยอยถอนสภาพคล่องออกจากตลาดของบรรดาธนาคารกลาง ผ่านการลดงบดุลของ Fed และการทยอยลดการทำ QE ของธนาคารกลางอื่นๆ ซึ่งอาจส่งผลลบต่อตลาดหุ้นได้
ทางด้านตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ แกว่งตัวผันผวนพอสมควร โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 3.00% ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุ Fed ก่อนที่จะย่อตัวลงแตะระดับ 2.94% หลังFed ไม่ได้ส่งสัญญาณเร่งรีบขึ้นดอกเบี้ย ทำให้เรามั่นใจมากขึ้นว่า จุดสูงสุดของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ น่าจะอยู่แถว 3.00% และผู้เล่นในตลาดอาจรอจังหวะทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวมากขึ้น หากประเมินว่า Fed จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยไปมาก และ Terminal Rate จะอยู่ในช่วง 3.00-3.25%
ในฝั่งตลาดค่าเงิน ผลการประชุม Fed ที่เป็นไปตามคาด และ Fed ได้ส่งสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ยไปมาก ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยลดการถือครองเงินดอลลาร์ลง (Sell on Fact) กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลงสู่ระดับ 102.5 จุด จากที่แกว่งตัวเหนือระดับ 103.3 จุด ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม Fed
นอกจากนี้ แนวโน้ม Fed ไม่เร่งรีบขึ้นดอกเบี้ย ที่ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ปรับตัวลง ยังได้หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 1,895 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราประเมินว่าผู้เล่นบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำได้บ้าง และบางส่วนอาจรอลุ้นให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทะลุแนวต้าน 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะเพิ่มสถานะถือครองเพื่อลุ้นการปรับตัวขึ้นไปสู่ระดับ 1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ (5 พฤษภาคม) นอกเหนือจากผลการประชุม Fed ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) โดยตลาดประเมินว่า BoE อาจมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.00% เพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ BoE อาจประเมินว่าการเติบโตเศรษฐกิจอาจชะลอลง แต่ปัญหาเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงจะทำให้ BoE ทยอยขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ในอนาคต
ส่วนในฝั่งเอเชียนักวิเคราะห์มองว่า ผลกระทบจากการใช้มาตรการ Zero COVID ของทางการจีน เพื่อควบคุมการระบาดของโอมิครอนจะกดดันให้ภาคการบริการซบเซาหนัก โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (Caixin Services PMI) เดือนเมษายนอาจลดลงสู่ระดับ 40 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุดหมายถึงภาวะหดตัว) ส่วนในฝั่งไทยนั้นเรามองว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนเมษายนอาจชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนสู่ระดับ 5.4% หลังราคาสินค้าพลังงานทรงตัว ทว่าราคาอาหารส่วนใหญ่อาจปรับตัวสูงขึ้น (ระดับราคาสินค้าโดยรวม +1.1% m/m) ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) จะอยู่ที่ระดับ 2.0%
ทั้งนี้ เราคาดว่าระดับเงินเฟ้อที่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังไม่กดดันให้ ธปท. ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยตามธนาคารกลางอื่นๆ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้ายังไม่ได้กระจายเป็นวงกว้าง
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะยังคงรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยผลประกอบการที่ดีกว่าคาดอาจพอช่วยพยุงบรรยากาศการลงทุน หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายความกังวลแนวโน้ม Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท พูนประเมินว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดอาจช่วยลดแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้บ้าง อย่างไรก็ตาม แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทยังคงอยู่ อาทิ ความไม่แน่นอนของสงครามที่จะกดดันสกุลเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หากยุโรปตัดสินใจคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย หรือรัสเซียยุติการส่งออกพลังงานไปยังยุโรป
นอกจากนี้ ปัญหาการระบาดของโควิดในจีนก็มีโอกาสที่จะกดดันสกุลเงินฝั่งเอเชีย และทำให้นักลงทุนยังไม่รีบกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ในฝั่งเอเชียในระยะสั้น ทำให้เรามองว่าเงินบาทยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways ใกล้ระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ ควรจับตาฟันด์โฟลวนักลงทุนต่างชาติว่าจะเริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยและบอนด์ไทยมากขึ้นหรือไม่ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาทยอยเปิดรับความเสี่ยง
ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง เราคงแนะนำว่าผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ ใช้ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.95-34.15 บาทต่อดอลลาร์
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP