ค่าเงินบาทเช้านี้ (15 มีนาคม) เปิดที่ระดับ 34.54 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ 34.52 บาทต่อดอลลาร์ หลังตลาดรับรู้ข้อมูล CPI ของสหรัฐอเมริกา ลุ้นต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อหุ้นไทย-ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ช่วยชะลอการอ่อนค่า
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างกลับมาทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนให้ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นแรง 1.65% หลังความกังวลต่อเสถียรภาพระบบธนาคารสหรัฐฯ เริ่มลดลง เนื่องจากยังไม่พบการปิดตัวเพิ่มเติมของธนาคารขนาดเล็ก-กลางในสหรัฐฯ จากปัญหาสภาพคล่อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 16 ปี
- วิเคราะห์ 5 สัญญาณ บ่งชี้ เงินเฟ้อ โลกใกล้ถึงจุดพีค
- 10 อันดับ สกุลเงินเอเชีย ที่อ่อนค่าสูงสุดนับจากต้นปี 2565
นอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ชะลอลงสู่ระดับ 6.0% และ 5.5% ตามที่ตลาดคาด ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดมองว่า Fed อาจไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% แต่การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนแตะระดับ 5.25% ยังมีความเป็นไปได้อยู่
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX 600 พลิกกลับมาพุ่งขึ้นราว 1.53% หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลปัญหาเสถียรภาพของระบบธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งหนุนให้หุ้นกลุ่มธนาคารรีบาวด์ขึ้น (UBS +3.6%, Intesa Sanpaolo +3.4%)
นอกจากนี้จากปัญหาด้านสภาพคล่องในระบบธนาคารสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นล่าสุด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างเริ่มมองว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพียง 0.25% ในสัปดาห์นี้ จากเดิมที่เคยประเมินว่า ECB จะเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.50%
ทางด้านตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมาทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ขณะเดียวกันแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ จะชะลอลง แต่โดยรวมก็ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในส่วนภาคการบริการ สะท้อนว่า Fed ยังมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ (จาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดให้โอกาส 69% ที่ Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.25%)
มุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.69% และมีโอกาสทยอยปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 3.70-3.80% ได้ไม่ยาก หากตลาดไม่ได้กลับมาปิดรับความเสี่ยงรุนแรงจากความกังวลปัญหาเสถียรภาพระบบธนาคารสหรัฐฯ
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนโดยมีจังหวะปรับตัวแข็งค่าขึ้น หลังตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ก่อนที่เงินดอลลาร์จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า แม้อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูง แต่แรงกดดันจากปัญหาด้านสภาพคล่องในระบบธนาคารสหรัฐฯ อาจทำให้ Fed ไม่สามารถเร่งขึ้นดอกเบี้ยหรือเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเหมือนที่ตลาดเคยกังวลได้
ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงใกล้ระดับ 103.6 จุด ส่วนในฝั่งราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดและการรีบาวด์ขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนเมษายน) เผชิญแรงขายทำกำไรต่อเนื่องและย่อตัวลงสู่ระดับ 1,906 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ โฟลวธุรกรรมขายทำกำไรทองคำดังกล่าวอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้างในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ
สำหรับวันนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกุมภาพันธ์ และจะรอติดตามรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price Index: PPI) เพื่อช่วยในการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ หลังจากที่ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนกุมภาพันธ์ชะลอลงตามคาด แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าเป้าหมายของ Fed มาก
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะจับตาแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในเดือนกุมภาพันธ์ โดยตลาดมองว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องหลังการเปิดประเทศ สะท้อนผ่านยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่จะขยายตัวกว่า +3.4%YoY และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ก็จะขยายตัวราว +2.6%YoY สอดคล้องกับรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
นอกจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะยังคงติดตามเสถียรภาพของระบบธนาคารสหรัฐฯ โดยผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นว่าจะมีธนาคารอื่นๆ โดยเฉพาะธนาคารขนาดเล็ก-กลางที่จะประกาศปิดตัวลงจากปัญหาสภาพคล่องอีกหรือไม่
ด้านแนวโน้มค่าเงินบาทประเมินว่า แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าในช่วงตลาดรับรู้รายงานอัตราเงิน CPI สหรัฐฯ ที่ส่งผลให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าสุดเกือบแตะระดับ 34.65 บาทต่อดอลลาร์ ทว่าการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลวธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ก็ช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทลง ทำให้โดยรวมเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าลงไปมาก
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ค่าเงินบาทจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ต่อเนื่อง จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ ซึ่งในสัปดาห์นี้ยังมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม เช่น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในฝั่งจีน รวมถึงผลการประชุมของ ECB
นอกจากนี้ควรจับตาแนวโน้ม Fund Flow นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะ Fund Flow ในฝั่งหุ้นว่านักลงทุนต่างชาติจะชะลอการขายหุ้นไทย หรือพลิกกลับมาเป็นฝั่งซื้อสุทธิได้หรือไม่ หลังจากที่วันก่อนหน้าตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรง พร้อมแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติเกือบ 5 พันล้านบาท ซึ่งหากนักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยมากขึ้น ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะนี้ หรืออาจช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้ โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.40-34.65 บาทต่อดอลลาร์