×

หน้าหนาว EV มาเยือนแล้ว? เมื่อ Tesla สูญมูลค่าบริษัท 9.4 หมื่นล้านบาท ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์แรกของปี 2024

16.01.2024
  • LOADING...
Tesla

หุ้น Tesla ที่เคยพุ่งขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 กำลังเผชิญกับจุดพลิกพลันในปีนี้ หลังบริษัทเริ่มต้นปีได้อย่างย่ำแย่ โดยสูญเสียมูลค่าตลาดไปแล้วกว่า 9.4 หมื่นล้านดอลลาร์ คาดมาจากการชะลอตัวของความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะในสหรัฐฯ

 

Tesla กำลังเผชิญกับปัญหาที่รุมเร้า ทั้งการกลับลำของบริษัทรถเช่า Hertz Global Holdings การหั่นราคารถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทในจีนอีกครั้ง และสัญญาณค่าแรงที่สูงขึ้น จึงอาจไม่ใช่เรื่องแปลกใจที่บริษัทต้องสูญเสียมูลค่าเกือบแสนล้านในเวลาเพียง 2 สัปดาห์แรกของปี 2024 เท่านั้น ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ยังเกิดขึ้นท่ามกลางความต้องการรถยนต์ EV ที่ชะลอตัวลงทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ

 

Jeffrey Osborne นักวิเคราะห์ของ Cowen กล่าวว่า ความกังวลหลักของนักลงทุนต่อ Tesla คือการเติบโตอาจถดถอยลง การแข่งขันในตลาดจีนที่รุนแรงมีเพียงแต่จะทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าตกลงไปสู่จุดต่ำสุด

 

มูลค่าหุ้น Tesla ที่ลดลง 12% นับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2024 ถือเป็นการลดลงช่วงต้นปีที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016 เมื่อหุ้นร่วง 14% ภายใน 9 วันแรกของปี และดูเหมือนว่าโอกาสที่ Tesla จะฟื้นตัวอาจไม่ใช่ในเร็วๆ นี้

 

Tesla หั่นราคารถยนต์ EV อย่างรุนแรงตั้งแต่ต้นปี 2023 เพื่อหวังกระตุ้นความต้องการ แต่ผลที่ตามมาคือการพังทลายของอัตรากำไรมหาศาลที่เคยแข็งแกร่ง กำไรสุทธิจากการผลิตรถยนต์ของ Tesla ในไตรมาส 3 ลดเหลือ 16.3% จาก 27.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน และแรงกดดันยังคงเพิ่มขึ้น หลังจากพนักงานโรงงานผลิตในสหรัฐฯ ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือน

 

Ivana Delevska ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Spear Invest ระบุว่า เรากำลังเผชิญภาวะถดถอยของ EV และแรงกดดันด้านการแข่งขันกลายเป็นปัจจัยที่ทวีความรุนแรงของการถดถอยดังกล่าวอีกด้วย การปรับลดราคาและกำไรที่ลดลงล้วนมาจากแรงกดดันด้านการแข่งขันที่ไม่เอื้ออำนวย 

 

นอกจากนี้ ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องยังเปิดเผยว่า Tesla ต้องเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งสินค้าไปโรงงานเบอร์ลิน หลังจากการปฏิบัติการทางทหารของตะวันตกและความกังวลด้านความปลอดภัยในทะเลแดง รวมถึงยังระงับการผลิตส่วนใหญ่ที่โรงงานใกล้เบอร์ลินระหว่างวันที่ 29 มกราคม – 11 กุมภาพันธ์

สัญญาณแรกของการชะลอตัวจาก EV มาจากผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของ Tesla เกิดขึ้นในช่วงที่ผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์ทั่วโลกต่างยอมรับการคาดการณ์ในแง่ลบจากตลาด โดยผู้ผลิตรถยนต์หลายรายกลับลำแผนการขยายธุรกิจ

 

หลังจากนั้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา Tesla รายงานตัวเลขการส่งมอบในไตรมาสที่ 4 แม้ว่าตัวเลขจะทำได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ตัวเลขดังกล่าวกลับตามหลัง BYD ของจีนในจำนวนการขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก

 

ผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นเหมือนเสียงปลุกสำหรับนักลงทุน เมื่อปีที่แล้ว หุ้น Tesla เป็นหุ้นที่ทำผลงานดีเป็นอันดับ 8 ในดัชนี S&P 500 ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน หุ้น Tesla ทำผลงานได้เป็นอันดับ 8 เช่นเดิม แต่เปลี่ยนเป็นหุ้นที่แย่ที่สุดอันดับ 8 

 

จากทั้งหมดที่กล่าวมา Tesla ยังคงเป็นผู้เล่นหลักในการเปลี่ยนแปลงระดับโลกจากรถยนต์ที่ใช้พลังงานก๊าซไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจาก Tesla ยังคงนำหน้าคู่แข่ง แม้ BYD ของจีนอาจแซงหน้า Tesla ในด้านจำนวนหน่วยที่ขายได้ แต่ก็ยังตามหลังในด้านรายได้และผลกำไร อีกทั้ง BYD ยังไม่จำหน่ายรถยนต์ในสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบัน Tesla ยังคงเป็นผู้นำตลาด

 

ในหลายๆ ด้าน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของ Tesla อาจเป็นความสำเร็จในอดีตซึ่งตามมาด้วยมาตรฐานของความหวังที่เกิดขึ้น ในขณะที่นักลงทุนทะลักเข้าไปในหุ้นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ Tesla ก็เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทมีขนาดใหญ่กว่าบริษัทรถยนต์อื่นๆ ในโลก อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาหุ้นที่สมบูรณ์แบบ ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกตอบโต้จากข่าวเชิงลบใดๆ ก็ตาม 

 

นั่นเป็นสาเหตุที่ผู้ลงทุน Tesla จำนวนมากโต้แย้งว่าไม่ควรนำบริษัทไปเปรียบเทียบกับบริษัทรถยนต์ทั่วไป สำหรับพวกเขา มูลค่าที่แท้จริงสูงสุดนั้นขึ้นอยู่กับอนาคต และคาดหวังว่าจะพัฒนารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองได้อย่างแท้จริง ปัญหาเดียวคือ Tesla มีแนวโน้มอย่างนี้มาหลายปีแล้ว และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีจึงจะสำเร็จ

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising