เมื่อ 2 ทศวรรษที่แล้ว บริษัทสตาร์ทอัพชื่อ Tesla ได้ตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายที่จะผลิต ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ ที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนั้น
เมื่อมองย้อนกลับไปถึงการเดินทางของ Tesla เห็นได้ชัดว่าจุดสำคัญเกิดขึ้นในปี 2010 ย้อนกลับไปในตอนนั้น Tesla เป็นบริษัทที่เพิ่งเริ่มต้นที่ประสบปัญหาในการขยายขนาดการผลิต การเป็นพันธมิตรกับบริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างโรงงานแห่งแรกของ Tesla และความรู้ความชำนาญด้านการผลิตจำนวนมากที่ประเมินค่าไม่ได้
น่าแปลกที่ในทศวรรษต่อมา Toyota ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นครู แต่ตอนนี้กำลังเรียนรู้จากนักเรียนเก่าอย่าง Tesla ซึ่งนับเป็นการพลิกบทบาทที่สำคัญในอุตสาหกรรมนี้
ในช่วงเวลานั้น Toyota ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Tesla ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการก้าวเข้ามาหนุนหลังเจ้าพ่อยานยนต์ไฟฟ้า ผ่านการลงทุน 50 ล้านดอลลาร์ใน Tesla คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 3%
การลงทุนนี้ไม่ใช่ผลประโยชน์เดียวที่ Tesla ได้รับจากข้อตกลง Toyota ยังขายส่วนหนึ่งของโรงงานผลิตรถยนต์ที่เพิ่งปิดไปในแคลิฟอร์เนียให้กับ Tesla โรงงานแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจการร่วมค้า NUMMI ระหว่าง Toyota และ General Motors และขายให้กับ Tesla ในราคา 42 ล้านดอลลาร์
สำหรับ Tesla การซื้อโรงงานแห่งนี้ถือเป็นโชคลาภ เพราะโรงงานมีเครื่องจักรที่จำเป็นครบครัน ซึ่งหมายความว่า Tesla ไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนเพิ่มเติมในโครงสร้างพื้นฐานการผลิต โรงงานแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการผลิต Model S ในปริมาณมาก ซึ่งเป็นโมเดลที่พัฒนาเองโดยสมบูรณ์รุ่นแรกของ Tesla
จากมุมมองของ Toyota การเป็นหุ้นส่วนไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่สำคัญ แม้ว่าพวกเขาจะพบผู้ซื้อสำหรับโรงงานในแคลิฟอร์เนีย แต่ยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาร่วมกันนั้นไม่สูงเท่าที่คาดไว้ ภายในสิ้นปี 2016 Toyota ขายหุ้นทั้งหมดใน Tesla
ในขั้นต้น Toyota เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนนี้โดยหวังว่าจะกระตุ้นแผนกพัฒนาของตนเอง ซึ่งถูกมองว่าปรับตัวได้ช้ากับการมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ในตอนแรกวิศวกรของ Toyota ไม่เต็มใจที่จะร่วมมือกับ Tesla เพราะเชื่อว่าพวกเขาสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างอิสระ
แม้จะมีการต่อต้านนี้ การเป็นหุ้นส่วนก็ได้นำเสนอมุมมองใหม่ๆ ให้กับบริษัท การเข้ามาของ Tesla และผู้เล่นรายใหม่อื่นๆ เช่น บริษัทจีน ส่งสัญญาณว่ากฎดั้งเดิมของอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนไป
แนวทางใหม่ในการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ของ Tesla มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จ บริษัทได้เปลี่ยนรูปแบบตัวแทนจำหน่ายทั่วไปด้วยการขายรถยนต์โดยตรงทางออนไลน์ สิ่งนี้ทำให้ Tesla สามารถตัดพ่อค้าคนกลางออก ส่งผลให้ลูกค้าซื้อรถในราคาที่ต่ำลงและสร้างกำไรที่มากขึ้นสำหรับ Tesla
ตรงกันข้ามกับปรัชญาไคเซ็นของ Toyota ซึ่งเน้นการปรับปรุงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและต่อเนื่อง Tesla นำแนวทางที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่ละครั้งที่ Tesla สร้างโรงงานใหม่ Tesla จะประเมินวิธีการผลิตทั้งหมดใหม่ตั้งแต่ต้น โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนถึง 50% กลยุทธ์นี้สร้างแรงกดดันอย่างมากทั้งภายในบริษัทและคู่แข่งในการคิดค้นและปรับปรุงประสิทธิภาพ
แต่ตอนนี้บริษัทที่เคยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของ Tesla กำลังหันไปหาข้อมูลเชิงลึกจากบริษัทดังกล่าว Toyota ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านเทคนิคการผลิตที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ เพิ่งประกาศแผนการนำเทคโนโลยี Gigacasting มาใช้ ซึ่งคล้ายกับเทคโนโลยี Megacasting ที่ Tesla ใช้อยู่ การตัดสินใจของ Toyota ที่จะเดินตามรอยเท้าของ Tesla นี้เป็นเรื่องที่น่าจับตาไม่น้อย
ถึงอย่างนั้นทศวรรษที่ 3 ของ Tesla ไม่ได้ปราศจากความท้าทาย การเปลี่ยนจากสตาร์ทอัพที่คล่องแคล่วว่องไวไปสู่องค์กรขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตรถยนต์ได้ 2 ล้านคันต่อปี และจ้างพนักงานกว่า 120,000 คน นำมาซึ่งปัญหาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม
นอกจากนี้ เมื่อมีผู้เล่นเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ความแปลกใหม่ของแบรนด์ Tesla อาจลดลง ราคาที่ลดลงของรถยนต์ Model 3 มือสองในสหรัฐอเมริกา ซึ่งลดลง 20% ในครึ่งปี บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ตลอดจนภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งอยู่ในสถานะที่ผันผวนอย่างรวดเร็ว
ภาพ: Justin Sullivan / Getty Images
อ้างอิง: