×

Sweet Tooth การผจญภัยของเจ้าหนูครึ่งกวาง บนโลกสีเทาที่บีบคั้นให้เรากลายเป็นคนที่ไม่อยากเป็น

09.06.2021
  • LOADING...
Sweet Tooth

ความน่าสนใจประการแรกของ Sweet Tooth ออริจินัลซีรีส์เรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ดึงดูดสายตาเรามากๆ ตั้งแต่แรกเห็นคือชื่อของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ นักแสดงที่แฟนๆ ฮีโร่มาร์เวลรู้จักเป็นอย่างดีในบทบาทของ โทนี สตาร์ก และภรรยาของเขา ซูซาน ดาวนีย์ มานั่งแท่นในตำแหน่งเอ็กซ์คลูซีฟโปรดิวเซอร์ ซึ่งเราไม่ค่อยได้เห็นเขาในบทบาทของคนเบื้องหลังเท่าไร  

 

ความน่าสนใจประการที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากที่เราได้ชมตัวอย่างซีรีส์เป็นครั้งแรก ทั้งการออกแบบงานสร้าง ดนตรีประกอบ เสน่ห์ของทีมนักแสดงนำ และองค์ประกอบอีกหลายส่วนของซีรีส์ที่ชักชวนให้เราหลงใหลไปกับโลก Post-Apocalypse ที่ผสมผสานระหว่างความหมองหม่นและความสดใสได้อย่างลงตัว ดังนั้นแล้ว Sweet Tooth จึงเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่เราค่อนข้างเฝ้ารอเป็นพิเศษ

 

Sweet Tooth

Sweet Tooth

 

หน้าปก Sweet Tooth ฉบับคอมิกที่ออกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2009

 

เรามาทำความรู้จักซีรีส์เรื่องนี้กันสักหน่อย Sweet Tooth คือซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากคอมิกในชื่อเดียวกันของ เจฟฟ์ เลอไมร์ จากค่าย DC Vertigo ออกตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2009-2013 และได้มีการเขียนภาคต่อในชื่อ The Return ออกมาในปี 2020

 

แรกเริ่มเดิมทีซีรีส์ Sweet Tooth มีกำหนดเข้าฉายทางแพลตฟอร์มสตรีมมิงอย่าง Hulu ในปี 2018 โดยได้ Team Downey สตูดิโอโปรดักชันที่ก่อตั้งโดย โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ และ ซูซาน ดาวนีย์ มารับหน้าที่ผลิตร่วมกับ Warner Bros. Television รวมถึงได้ จิม มิกเคิล ผู้กำกับจาก In the Shadow of the Moon (2019) มารับหน้าที่กำกับ, เขียนบทร่วม และผู้จัดร่วม ก่อนที่ในปี 2020 จะมีการประกาศว่าซีรีส์จะถูกย้ายไปเข้าฉายบน Netflix และจะมีความยาวทั้งหมด 8 ตอนด้วยกัน 

 

Sweet Tooth

 

เรื่องราวของ Sweet Tooth เริ่มต้นขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์โรคระบาดขึ้นและพรากชีวิตของผู้คนไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้นตามมาไม่หยุด เมื่อเหล่าเด็กทารกแรกเกิดเริ่มกลายร่างเป็นไฮบริดหรือพวกครึ่งคนครึ่งสัตว์อย่างไม่ทราบสาเหตุ และด้วยความชุลมุนวุ่นวายที่ไม่อาจควบคุมได้ โลกก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความพินาศในที่สุด

 

จนกระทั่งเวลาผ่านไปกว่า 10 ปี โลกที่เหมือนจะหยุดนิ่งมานานก็ค่อยๆ กลับมาเคลื่อนที่อีกครั้ง เมื่อ กัส (คริสเตียน คอนเวอรี) ไฮบริดลูกครึ่งกวางที่เติบโตและอาศัยอยู่ท่ามกลางผืนป่าอันสงบสุข ได้พบกับ เจพเพิร์ด (นอนโซ อะโนซี) ชายพเนจรร่างใหญ่โดยบังเอิญ กัสจึงอ้อนวอนขอให้เจพเพิร์ดช่วยเขาตามหาแม่ของตัวเองตามที่ ริชาร์ด (วิลล์ ฟอร์เท) พ่อผู้ล่วงลับได้ทิ้งเบาะแสสำคัญไว้ให้ จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยเพื่อตามแม่ของกัสบนโลกสีเทาอันกว้างใหญ่ พร้อมกับต้องคอยหลบหนีการตามล่าของกองกำลังลาสต์เมนที่กำลังไล่ล่าเหล่าไฮบริด

 

โดยซีรีส์จะแบ่งเส้นเรื่องออกเป็น 3 เส้นเรื่องใหญ่ๆ เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นภาพรวมของโลกใน Sweet Tooth ชัดเจนยิ่งขึ้น ได้แก่ การเดินทางตามหาแม่ของกัสและเจพเพิร์ด, เรื่องราวของ เอมี (ดาเนีย รามิเรซ) หญิงสาวที่ได้พบกับ เวนดี้ เด็กสาวไฮบริดครึ่งหมู และเรื่องราวของ หมอสิงห์ (อะดีล อัคห์ตาร์) ที่กำลังหาวิธีรักษาโรคร้ายเพื่อช่วยเหลือภรรยา  

 

Sweet Tooth

 

ขึ้นชื่อว่าเป็นซีรีส์ที่บอกเล่าเรื่องราวของโลก Post-Apocalypse องค์ประกอบที่สำคัญมากๆ สำหรับภาพยนตร์หรือซีรีสแนวนี้ คือการเซ็ตติ้งภาพรวมของโลกให้น่าดึงดูดและแตกต่างไปจากผลงานอื่นๆ ทั้งรูปแบบสังคมที่เกิดขึ้นใหม่หลังได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ สภาพแวดล้อมของโลกในปัจจุบัน รวมถึงการวางปมปริศนาสำคัญที่ชักจูงให้ตัวละครหลักต้องหาคำตอบ หากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกปูมาอย่างแข็งแรงมากพอ ซีรีส์ก็อาจจะไม่สามารถดึงดูดให้ผู้ชมติดตามเรื่องราวไปจนจบได้อย่างที่ควรจะเป็น

 

ซึ่ง Sweet Tooth เซ็ตติ้งองค์ประกอบเหล่านี้ได้ค่อนข้างโดดเด่นทีเดียว ไล่เรียงตั้งแต่การกำเนิดขึ้นของเด็กครึ่งคนครึ่งสัตว์อย่างไฮบริดที่โดดเด่นทั้งในแง่การออกแบบคาแรกเตอร์และการมีบทบาทสำคัญภายในเรื่อง กองกำลังลาสต์เมนที่ปกครองสังคมแบบเผด็จการ รวมถึงโรคระบาดปริศนาที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด และด้วยความประจวบเหมาะกับสถานการณ์ในโลกปัจจุบันพอดิบพอดี มันจึงยิ่งส่งให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วมไปกับเหตุการณ์ที่ตัวละครกำลังเผชิญได้อย่างไม่ยากเย็น

 

Sweet Tooth

 

จุดเด่นข้อต่อมาที่เราชื่นชอบเป็นการส่วนตัว คือการที่ผู้กำกับบาลานซ์ ‘ความดาร์ก’ และ ‘ความฟีลกู๊ด’ ของเนื้อเรื่องออกมาได้อย่างกลมกล่อม ผ่านเส้นเรื่องของกัสที่เป็นตัวแทนของเด็กที่มองโลกสีเทาๆ ด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์และเปี่ยมล้นไปด้วยพลังบวก ในขณะที่เส้นเรื่องของหมอสิงห์ทำหน้าที่ถ่ายทอดมุมมองโลกของผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยความหมองหม่น เจ็บปวด และเห็นแก่ตัวออกมาอย่างสุดโต่ง เสมือนเป็นหนังคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง

 

เช่น การที่กัสเชื่อมั่นว่าเจพเพิร์ดคือ ‘คนดี’ ที่พร้อมจะช่วยพาเขาไปพบแม่ของตัวเองได้ โดยที่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวเบื้องหลังของเจพเพิร์ดมาก่อนเลยแม้แต่น้อย อีกด้านหนึ่ง หมอสิงห์ผู้มีปณิธานอันแรงกล้าที่อยากจะช่วยเหลือผู้คน แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มบีบบังคับให้เขาต้องจนมุม เขาจึงต้องตัดสินใจกระทำบางสิ่งที่ขัดต่อปณิธานของตัวเองเพื่อความอยู่รอด 

 

สิ่งเหล่านี้คือหัวใจสำคัญที่ส่งให้ Sweet Tooth สามารถเอาชนะใจผู้ชมได้อย่างอยู่หมัด เพราะเรื่องราวของกัสและตัวละครทุกตัวภายในเรื่องต่างกำลังทำหน้าที่สะท้อนภาพของ ‘โลกที่เราอยากให้เป็น’ และ ‘โลกความจริงที่เราไม่อาจหลีกหนี’ ออกมาได้อย่างแจ่มชัด

 

Sweet Tooth

 

ขณะเดียวกัน Sweet Tooth ก็ไม่ลืมที่จะสอดแทรกความหวังเล็กๆ ไว้ตรงกลางระหว่างความฟีลกู๊ดชวนฝันและความดาร์กอันหมองหม่น ผ่านเรื่องราวของตัวละครเจพเพิร์ดที่ต้อง ‘จำใจ’ ฝ่าภัยอันตรายมากมายเพื่อช่วยเหลือกัส ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ใหญ่ที่ถูกโลกสีเทาๆ ใบนี้ค่อยๆ บีบคั้นให้เรากลายเป็นคนที่เราไม่อยากเป็น เพื่อบอกกับทุกคนว่า เราคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงโลกสีเทาๆ ใบนี้ให้กลายเป็นโลกที่อยากให้เป็นได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นได้ 

 

แน่นอนว่าประเด็นเหล่านี้มักจะถูกบอกเล่าผ่านภาพยนตร์และซีรีส์มาแล้วหลายครั้งหลายหน แต่เพราะโลกความจริงมักจะโหดร้ายกับทุกคนเสมอ ภาพยนตร์และซีรีส์เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนพลังใจสำคัญที่คอยช่วยผลักดันให้เราสามารถดำเนินชีวิตบนโลกนี้ต่อไปได้ 

 

และเราเชื่อว่าเรื่องราวของกัสและเจพเพิร์ดใน Sweet Tooth จะเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่จะมาช่วยเติมเต็มพลังใจให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี 

 

รับชมตัวอย่างได้ที่นี่

 

 

ภาพ: Netflix
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising