อาหารญี่ปุ่นได้ซึมลึกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมการกินของคนไทยอย่างสมบูรณ์ จากที่เคยเป็นเพียงมื้อพิเศษในโอกาสสำคัญ ปัจจุบันเมนูอย่างซูชิ ราเมน ชาบู หรือยากินิกุ ได้กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวัน
ความนิยมนี้สะท้อนผ่านบทสนทนามากมายบนโลกโซเชียล ซึ่งข้อมูลจากบริษัทดาต้าเซ็ตที่ใช้เครื่องมือ Social Listening ได้ทำการวิเคราะห์เพื่อถอดรหัสเทรนด์ที่น่าสนใจเหล่านี้ โดยเก็บข้อมูลระหว่าง 22 เมษายน – 21 พฤษภาคม 2568
เมื่อพูดถึงเมนูที่ครองใจมหาชน ‘ซูชิ’ ยังคงยืนหนึ่งอย่างไม่มีใครเทียบ ด้วยสัดส่วน Engagement สูงถึง 50.2% จักรวาลของซูชิที่กว้างขวางคือเคล็ดลับความสำเร็จ ตั้งแต่ซูชิสายพานราคาเข้าถึงง่ายสำหรับมื้อด่วน ไปจนถึงโอมากาเสะที่เปรียบเสมือนงานศิลปะ สิ่งนี้ทำให้ซูชิเป็นได้ทั้งอาหารจานโปรดในวันธรรมดาและมื้อหรูในวันพิเศษ
ตามมาด้วย ‘อาหารเซ็ต’ หรือเทโชกุ ที่ 23.7% ซึ่งถูกมองว่าเป็นมื้ออาหารที่เหมาะสำหรับในชีวิตประจำวัน เพราะมักประกอบด้วย ข้าว ซุปมิโซะ อาหารจานหลัก และเครื่องเคียง เป็นมื้ออาหารที่นิยมเพราะมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน
ขณะที่ ‘ยากินิกุ’ และ ‘ชาบู’ ที่ครองสัดส่วนเท่ากันที่ 10.4% ยังคงเป็นตัวแทนของความสุขในการสังสรรค์ การได้ล้อมวงปิ้งเนื้อหอมๆ หรือลวกวัตถุดิบลงในหม้อไฟร้อนๆ ถือเป็นประสบการณ์ร่วมที่มากกว่าแค่การทานอาหาร
ในสมรภูมิของแบรนด์ร้านอาหารที่มีการแข่งขันสูง การสร้างความเชื่อมั่นจึงเป็นกุญแจสำคัญ ‘Yayoi’ นำมาเป็นอันดับหนึ่งด้วย Engagement สูงสุดที่ 31.1% ตามมาด้วยร้านซูชิสายพานชื่อดังอย่าง ‘Sushiro’ ที่ 20.3% และ ‘ZEN’ ที่ 11.2% ข้อสังเกตที่สำคัญคือ 5 ใน 10 อันดับแรกของแบรนด์ยอดนิยมคือร้านที่มีจุดเด่นด้านซูชิ ซึ่งตอกย้ำความนิยมของเมนูนี้ได้อย่างชัดเจน
สำหรับปัจจัยด้านราคา พฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยมีความชัดเจนอย่างมาก ช่วงราคาที่คนไทยรู้สึก ‘คุ้มค่า’ และเป็นที่นิยมที่สุดสำหรับอาหารญี่ปุ่นโดยรวมคือ 251-500 บาทต่อมื้อ
แต่เมื่อเจาะลึกลงไปจะพบว่าผู้บริโภคมีราคาในใจสำหรับแต่ละเมนูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยคาดหวังว่าอาหารเซ็ตจะมีราคาที่ย่อมเยา (101-250 บาท) ในขณะที่ยินดีจ่ายสูงขึ้นสำหรับซูชิ (251-500 บาท) และพร้อมที่จะลงทุนกับมื้อพิเศษอย่างยากินิกุและชาบู (501-1,000 บาท)
แล้วอะไรคือสิ่งที่คนไทยให้ความสำคัญที่สุด? บทสนทนาบนโซเชียลมีเดียให้คำตอบว่า ‘คุณภาพและรสชาติ’ ยังคงมาเป็นอันดับหนึ่ง (46.5%) แต่ที่ตามมาติดๆ แบบหายใจรดต้นคอคือ ‘ราคาและความคุ้มค่า’ (42.3%) โจทย์ใหญ่ของร้านอาหารจึงเป็นการสร้างสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ให้ลงตัวที่สุด
แต่ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด ยังมีอีกหนึ่ง ‘ปัจจัยลับ’ ที่เป็นตัวตัดสินและสร้างความแตกต่างได้อย่างมหาศาล นั่นคือ ‘ความเป็นต้นตำรับ’ โดยคำว่า ‘เชฟเป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ’ หรือ ‘เจ้าของร้านเป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ’ ถูกพูดถึงถึง 11.2% และกลายเป็นเครื่องหมายการันตีที่มีน้ำหนักในสายตาผู้บริโภค
ปัจจัยด้านความเป็นต้นตำรับนี้ มักเป็นกลยุทธ์สำคัญของร้านขนาดกลางและเล็ก โดยเฉพาะร้านประเภทแฮนด์โรลซูชิและโอมากาเสะ เพื่อใช้สร้างความแตกต่างจากแบรนด์เชนใหญ่ๆ นอกจากจะช่วยการันตีคุณภาพอาหารแล้ว ยังทำให้ลูกค้ารู้สึกได้สัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบจริงๆ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความสำเร็จของร้านอาหารญี่ปุ่นในวันนี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งกว่าแค่รสชาติและราคา แต่คือการมอบประสบการณ์ที่สมบูรณ์ ซึ่ง ‘ความเป็นต้นตำรับ’ ไม่ใช่แค่จุดขายอีกต่อไป แต่เป็น ‘เสน่ห์’ สำคัญที่ทำให้ร้านอาหารโดดเด่นขึ้นมา และเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกเดินเข้ามาท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด