บอร์ด EV เคาะมาตรการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ไฟเขียวปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฮบริด (HEV) ตั้งแต่ปี 2571-2575 หรือช่วง 5 ปี ภายใต้ 4 เงื่อนไข โดยบีโอไอมั่นใจว่าจะมีค่ายรถสนใจเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 5 ราย เงินลงทุน 4 ปีไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด EV ที่มี พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เห็นชอบ ‘มาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า’
โดยการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารขนาดที่นั่งไม่เกิน 10 คนแบบไฮบริด (HEV) ซึ่งเป็นเทคโนโลยียานยนต์ที่ผสมผสานทั้งระบบเครื่องยนต์สันดาปภายในและระบบไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดรับกับทิศทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในขณะที่ยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในระยะยาว ผ่านการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์อย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ทำไม ‘ฮอนด้า’ เลือกที่จะปิดไลน์ผลิตรถยนต์ที่ ‘อยุธยา’ ย้ายไปโรงงานปราจีนบุรีที่เดียว สัญญาณนี้กำลังบอกอะไรกับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย
- เปิดชื่อแบรนด์รถยนต์ EV จีน ที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในไทย เริ่มเดินสายพานปี 2567-2568 กำลังผลิตเท่าไร ตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง
- เกิดอะไรขึ้นกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย? ครั้งนี้ไม่เหมือนยุค 1980 ปิกอัพไทยเสี่ยงล่มสลาย ถูกกินรวบจาก EV จีน
โดยมีเงื่อนไขสำคัญ 4 ด้าน คือ
- การลดการปล่อยคาร์บอน
- การลงทุนเพิ่มเติม
- การใช้ชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ
- การติดตั้งระบบความปลอดภัยของรถยนต์
เพื่อตอบโจทย์การยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ การเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น ‘ศูนย์กลางการผลิตและการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทในระดับโลก’
ทั้งนี้ มาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ HEV จะปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตให้อยู่ในระดับคงที่ในช่วงปี 2571-2575 จากเดิมอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้น 2% ทุก 2 ปี (ซึ่งปัจจุบันจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 จะเก็บภาษีสรรพสามิตอยู่ที่ 8% สำหรับรถที่ปล่อยคาร์บอน เท่ากับหรือน้อยกว่า 100 g/km หากถ้าปล่อย 101-120 g/km จะเก็บอยู่ที่ 16%)
โดยหลังจากนี้จะกำหนดให้บริษัทผลิตรถยนต์ไฮบริด (HEV) ที่จะขอรับสิทธิ์ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข 4 ด้าน ดังนี้
- ต้องมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไม่เกิน 120 g/km
- การปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 g/km อัตราภาษีสรรพสามิต 6%
- การปล่อย CO2 101-120 g/km อัตราภาษีสรรพสามิต 9%
- ต้องมีการลงทุนจริงเพิ่มเติม โดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ และ/หรือ บริษัทในเครือในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2567-2570 ไม่น้อยกว่า 3 พันล้านบาท
- ต้องมีการใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยรถยนต์ HEV รุ่นที่ขอรับสิทธิ์ต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปี 2569 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ ตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป
โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ชิ้นส่วนสำคัญที่มีมูลค่าสูง
- กรณีลงทุนเพิ่มเติมตั้งแต่ 5 พันล้านบาทขึ้นไป สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ชิ้นส่วนสำคัญ 3 ชิ้นในกลุ่มที่มีมูลค่าสูง หรือเลือก 2 ชิ้นในกลุ่มมูลค่าสูง และอีก 2 ชิ้นในกลุ่มมูลค่าปานกลาง หรือหากเลือก 1 ชิ้นในกลุ่มที่มีมูลค่าสูง จะต้องเลือก 4 ชิ้นในกลุ่มมูลค่าปานกลาง
- กรณีลงทุนเพิ่มเติม 3 พันล้านบาทขึ้นไปแต่ไม่ถึง 5 พันล้านบาท จะต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่มีมูลค่าสูงทั้ง 3 ชิ้นเท่านั้น
- ต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (Advanced Driver Assistance System: ADAS) ในรถยนต์ HEV รุ่นที่ขอรับสิทธิ์อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ ดังนี้
- ระบบเบรกฉุกเฉินขั้นสูง (AEB)
- ระบบเตือนการชนด้านหน้าของรถ (FCW)
- ระบบการดูแลภายในช่องจราจร (LKAS)
- ระบบเตือนการออกหรือเปลี่ยนช่องจราจร (LDW)
- ระบบการตรวจจับจุดบอด (BSD)
- ระบบการควบคุมความเร็วของยานยนต์ (ACC)
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ที่ประชุมบอร์ด EV ได้มอบหมายให้บีโอไอร่วมกับกระทรวงการคลัง นำมาตรการนี้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนออกประกาศต่อไป
“รถยนต์ HEV เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ทั้งการผลิตเพื่อการส่งออกและจำหน่ายในประเทศ เพราะสามารถตอบโจทย์ทั้งเรื่องการประหยัดพลังงาน ช่วยลดปัญหาฝุ่นควัน และก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า รัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญของกลุ่มรถยนต์ HEV จึงได้ออกมาตรการนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีค่ายรถยนต์สนใจเข้าร่วมไม่น้อยกว่า 5 ราย”
นฤตม์กล่าวอีกว่า มั่นใจว่ามาตรการนี้จะสร้างเม็ดเงินลงทุนต่อเนื่องในช่วง 4 ปีข้างหน้าไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท อีกทั้งจะช่วยเพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ รักษาและต่อยอดฐานผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย และเพิ่มความเข้มแข็งของไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ครบวงจรระดับโลกด้วย
ปีนี้ 24 แบรนด์ลงทุน EV ในไทยแล้ว 8 หมื่นล้าน
นฤตม์ระบุอีกว่า บอร์ด EV ได้สรุปผลของมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาล ซึ่งบีโอไออนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนโครงการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งการผลิตยานยนต์ BEV ประเภทต่างๆ แบตเตอรี่และชิ้นส่วนสำคัญ รวมทั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 8 หมื่นล้านบาท
ผ่านมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.5 โดยกรมสรรพสามิตระบุว่า มีผู้เข้าร่วมมาตรการจำนวน 24 แบรนด์ คิดเป็นจำนวนยานยนต์ทุกประเภทรวมกันกว่า 118,000 คัน สำหรับยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีจำนวน 37,679 คัน เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียน 13,634 คัน เพิ่มขึ้น 38% โดยขณะนี้มียานยนต์ BEV ทุกประเภทจดทะเบียนสะสมในประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 183,236 คัน
ด้าน ภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมฯ เร่งผลักดันอุตสาหกรรมไทย – ญี่ปุ่นผ่านนโยบาย ‘RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต’ โดยได้หารือผู้ว่าราชการจังหวัดโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ถึงความร่วมมือส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุน ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยจะเน้นผลักดันอุตสาหกรรมศักยภาพสูง เช่น อุตสาหกรรมบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ อุตสาหกรรมยา และการแพทย์
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฮบริดอีวี (Hybrid EV: HEV) เพื่อเดินหน้าต่อยอดขยายความร่วมมือ (DIPROM CONNECTION) กับรัฐบาลญี่ปุ่นระดับท้องถิ่น (Local to Local) เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจระหว่างกัน