วานนี้ (7 ธันวาคม) ในรายการ THE STANDARD NOW สุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงนโยบายพรรคเพื่อไทยกรณีการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 600 บาท
โดยสุพันธุ์ระบุว่า ในฐานะผู้ประกอบการก็ถือว่าค่อนข้างสะดุ้ง และมองว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ควรจะนำมาหาเสียงทางการเมือง โดยหากย้อนไปก่อนสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ละจังหวัดจะมีกลไกที่เรียกว่าคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งจะกำกับดูแลเรื่องค่าจ้าง ทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ ซึ่งแต่ละจังหวัดก็จะตกลงเรื่องค่าแรงขั้นต่ำว่าควรอยู่ที่เท่าไร
แต่เมื่อมาถึงยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็มีประกาศนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ขณะที่บางจังหวัดในขณะนั้นค่าแรงยังอยู่ที่ 180 บาท เช่นที่จังหวัดพะเยา และเมื่อขึ้นมา 300 บาท ทุกอย่างก็มารวมที่กรุงเทพมหานครหมด เพราะต่างจังหวัดจ้างไม่ไหว
“ผมเห็นว่าเราไม่ควรจะใช้การเมืองมาหาเสียงเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เพราะจริงๆ แรงงาน 11 ล้านคนที่กินเงินเดือน ส่วนคนอีก 30-40 ล้านคนไม่ได้เกี่ยวกับค่าแรงขั้นต่ำ เราควรดูเรื่อง GDP per Capita ว่ารายได้ต่อหัวต่อคน 3-4 ปีข้างหน้าควรจะเท่าไร” สุพันธุ์กล่าว
ส่วนเรื่องการอธิบายเรื่องกลไกการขึ้นค่าแรงของพรรคเพื่อไทยที่ระบุว่าต้องมองในภาพรวมนั้น สุพันธุ์มองว่าก็พอฟังขึ้น แต่ต้องดูเรื่องเงินเฟ้อ ภาพรวมเศรษฐกิจ และภาครัฐจะช่วยด้านใดได้บ้าง การที่เราจะเอาเงินผู้ประกอบการมาใส่ในนโยบายของภาครัฐนั้น เป็นเรื่องไม่สมควรอยู่แล้ว และการปรับค่าแรงขั้นต่ำนั้นไม่ได้ปรับเฉพาะคนที่อยู่บนค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องปรับทั้งระบบ หรืออย่างโรงงานก็ต้องปรับทั้งโรงงาน เพราะมันจะกระทบกันหมด
สุพันธุ์กล่าวต่อว่า ค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้หมายความถึงภาคโรงงานอุตสาหกรรม แต่ภาพเล็กอย่างร้านก๋วยเตี๋ยว หรืองานเก็บเกี่ยว เมื่อมีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำก็จำเป็นต้องใช้ค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งต้องยอมรับว่ากระทบกันไปหมด
“นโยบายตรงนี้เราก็ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก เพราะรัฐเป็นคนออกนโยบาย แต่คนจ่ายเงินไม่ใช่รัฐ ถึงแม้รัฐจะชดเชย เราก็ต้องมาดูรายจ่ายของคนว่าจะลดได้อย่างไร เช่น ช่วยเรื่องภาษี” สุพันธุ์กล่าว
สุพันธุ์ยังกล่าวถึงการปรับฐานเงินเดือนคนที่เรียนจบระดับปริญญาตรี เริ่มต้นที่ 25,000 บาทนั้น สุพันธุ์มองว่าเราต้องดูเรื่องคุณภาพ และต้องยอมรับว่าในหลายสถาบัน หลายภาควิชาในประเทศไทยนั้น ยังทำไม่ได้คุณภาพเท่าที่ควร ซึ่งเราจำเป็นต้องแก้ไข และพรรคไทยสร้างไทยเองก็มีนโยบายเรียนจบถึงปริญญาตรี โดยลดการเรียนระดับประถมศึกษา 1 ปี มัธยมศึกษาอีก 1 ปี และลดปริญญาตรีอีก 1 ปี เพราะฉะนั้นทุกคนจะเข้าสู่ตลาดแรงงานเร็วขึ้น
และเมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานได้เร็ว ก็จะสามารถขยับเติบโตได้เร็วขึ้น และลดภาระเรื่องการกู้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และนี่คือสิ่งที่ทำให้ตลาดแรงงานเป็นระบบ และประเทศเข้มแข็งได้มากขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือในยุคปัจจุบันการเรียนรู้เร็วขึ้น และยังสามารถแก้ไขปัญหาสังคมผู้สูงอายุได้อีกด้วย
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า พรรคไทยสร้างไทยจะตอบประชาชนอย่างไร หากประชาชนสอบถามเรื่องนโยบายค่าแรง สุพันธุ์กล่าวว่า “ผมจะตั้งเป้าภายใน 3 ปี ต่อหัว ต่อประชากร ต้องเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 50% นั่นคือทุกคนต้องได้ เพราะเราจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น เศรษฐกิจดีทั้งองคาพยพจากนโยบายที่เราตั้งขึ้นมา ทั้งการช่วยเหลือ SMEs แก้หนี้ เติมทุน และเรื่องการขับเคลื่อนสินค้าเกษตร ท่องเที่ยว และจัดอีเวนต์
“จริงๆ คือผมไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรง มันจำเป็นต้องปรับ สำคัญคือวันนี้ค่าใช้จ่ายเขาสูงขึ้น เราควรปรับให้ทันต่อค่าใช้จ่าย แต่เราต้องไม่ดูค่าแรงอย่างเดียว เราต้องดูว่ามีอะไรที่จะทำให้เขาลดค่าใช้จ่ายได้ ซึ่งภาครัฐเองก็สามารถทำได้เลย” สุพันธ์กล่าว
