เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (20 พฤษภาคม) กองทัพซูดานและกองกำลังกึ่งทหาร Rapid Support Forces (RSF) ได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิงเป็นเวลา 7 วัน ขณะที่การสู้รบระหว่างสองฝ่าย ซึ่งทำให้สถานการณ์ในประเทศตกอยู่ในความโกลาหล และทำให้มีผู้ที่ต้องพลัดถิ่นกว่าล้านคน ได้ยืดเยื้อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 แล้ว
แถลงการณ์จากสหรัฐอเมริกาและซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศที่เสนอตัวเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งของสองกลุ่มทหารซูดาน เปิดเผยว่า ข้อตกลงหยุดยิงจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเวลา 21.45 น. ของวันจันทร์ ตามเวลาท้องถิ่น
ก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายได้ทำข้อตกลงหยุดยิงมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็พบว่ามีการฝ่าฝืนอยู่ตลอด โดยต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ที่ไม่ทำตามข้อตกลงก่อน อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ระบุว่า ข้อตกลงที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดนี้จะมีกลไกตรวจสอบระหว่างสหรัฐฯ ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงนานาชาติที่คอยช่วยจับตาอีกแรงหนึ่ง
นอกจากนี้ข้อตกลงดังกล่าวยังได้เรียกร้องให้มีการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รวมถึงฟื้นฟูบริการที่จำเป็นสำหรับประชาชน พร้อมเรียกร้องให้มีการถอนเจ้าหน้าที่ของกองกำลังติดอาวุธออกจากโรงพยาบาลและสถานที่สาธารณะที่สำคัญอื่นๆ
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่ซูดานจะต้องหยุดยิง และเปิดทางให้มีการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมโดยไม่จำกัด ผมขอร้องให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันรักษาข้อตกลงนี้ ท่ามกลางสายตาของคนทั้งโลกที่กำลังจับจ้อง”
การสู้รบระหว่างกองทัพซูดานและกองกำลังกึ่งทหาร RSF ทำให้สถานการณ์ของซูดานยากลำบากยิ่งขึ้นกว่าเดิม อาหารและเงินสดในหลายครัวเรือนเริ่มลดน้อยถอยลง เกิดการปล้นสะดมจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นในธนาคาร สถานทูต โกดังสินค้า หรือแม้แต่โบสถ์ ขณะที่กลุ่มช่วยเหลือระบุว่า ทางองค์กรไม่สามารถให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นกับประชาชนในกรุงคาร์ทูมได้อย่างเพียงพอ เพราะสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไม่ได้
นับตั้งแต่ที่การสู้รบเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 15 เมษายน มีผู้คนเกือบ 1.1 ล้านคนที่ต้องพลัดถิ่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 705 คน บาดเจ็บอีกอย่างน้อย 5,287 คน
ภาพ: AFP
อ้างอิง:
