ค่า เงินบาท เปิดตลาดเช้านี้ (13 มีนาคม) ที่ระดับ 34.62 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นมากจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 35.02 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดมองว่าการปิดตัวลงของธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ทำให้โอกาสที่ Fed จะเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ในการประชุมเดือนนี้มีน้อยลง พร้อมกับเริ่มมองว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนแตะระดับสูงสุดไม่เกิน 5.50% ก่อนที่จะทยอยลดลงสู่ระดับ 5.00% ในช่วงปลายปี
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาส Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% หลังธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ถูกสั่งปิดจากปัญหาสภาพคล่อง และรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ดีกว่าคาดชัดเจน โดยประเมินแนวโน้มของค่าเงินบาทว่า มีโอกาสแกว่งตัว Sideways และอาจแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับแรกแถว 34.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ หากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 16 ปี
- วิเคราะห์ 5 สัญญาณ บ่งชี้ เงินเฟ้อ โลกใกล้ถึงจุดพีค
- 10 อันดับ สกุลเงินเอเชีย ที่อ่อนค่าสูงสุดนับจากต้นปี 2565
อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาฟันด์โฟลวนักลงทุนต่างชาติว่าจะชะลอการขายสินทรัพย์ไทย หรือกลับมาเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นไทยมากขึ้น และควรระวังเงินบาทอาจผันผวนสูงในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในวันอังคารนี้ (14 มีนาคม)
ในส่วนเงินดอลลาร์ มองว่าเงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว Sideways หรืออ่อนค่าลงได้บ้าง หลังทองคำและสินทรัพย์ปลอดภัยอื่น อย่างเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อาจได้รับความสนใจจากผู้เล่นในตลาดมากกว่าเงินดอลลาร์ในช่วงตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากความกังวลปัญหาธนาคาร SVB ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดโอกาส Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจไม่ได้อ่อนค่าลงชัดเจนและต้องระวังการกลับมาแข็งค่าขึ้นเร็วของเงินดอลลาร์ หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาสูงกว่าคาด
พูนระบุว่า ในสัปดาห์นี้ตลาดการเงินมีแนวโน้มผันผวนสูง ท่ามกลางความกังวลความเสี่ยงต่อระบบธนาคารสหรัฐฯ หลังธนาคาร SVB ถูกสั่งปิดกิจการ และควรระวัง ช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ โดยมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 34.25-35.25 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
ฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลกระทบจากการปิดตัวลงของธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ว่าจะส่งผลต่อระบบธนาคารสหรัฐฯ อย่างไร และทางการสหรัฐฯ รวมถึง Fed จะมีวิธีการรับมืออย่างไร เนื่องจากการปิดตัวลงของ SVB จากปัญหาสภาพคล่อง ถือว่าเป็นการสั่งปิดธนาคารที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 นอกจากนี้ ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานในสัปดาห์ก่อนหน้าที่ออกมาผสมผสาน ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับลดโอกาสที่ Fed จะเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ในการประชุมเดือนมีนาคมนี้
อย่างไรก็ดี ยังมองว่าควรรอประเมินสถานการณ์โดยรวม และรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่าโมเมนตัมของอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ยังคงอยู่ที่ระดับ +0.4%MoM หรือคิดเป็น +6.0%YoY และ +5.5%YoY ตามลำดับ
หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เป็นไปตามที่ตลาดคาดหรือน้อยกว่าคาด Fed ก็อาจไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% แต่การขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนแตะระดับ 5.50% ยังมีความเป็นไปได้สูง แต่ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อ CPI เร่งตัวขึ้นหรือออกมาสูงกว่าคาด เช่น +0.5%MoM หรือมากกว่านั้น ก็อาจเพิ่มโอกาสที่ Fed จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ และในกรณีดังกล่าวคาดว่ามีโอกาสที่จะเห็นเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ บ้าง เพื่อสะท้อนการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาด (Repricing) ต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Sentiment) โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งหากยอดค้าปลีกและความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงสะท้อนแนวโน้มการบริโภคของสหรัฐฯ ที่สดใสก็อาจทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่ Fed ต่างมั่นใจในภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของ Fed ได้
ฝั่งยุโรป ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาใกล้ชิดคือ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยคาดว่า ECB จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ต่อเนื่อง +0.50% สู่ระดับ 3.00% ได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตาคาดการณ์เศรษฐกิจใหม่ของ ECB รวมถึงถ้อยแถลงของประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของ ECB ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า ECB ยังมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ +0.50% ในการประชุมครั้งถัดไป ก่อนที่จะทยอยปรับขึ้นครั้งละ +0.25% จนแตะระดับ 4.00% หลังอัตราเงินเฟ้อยูโรโซนยังอยู่ในระดับสูงเกินกว่าเป้าหมาย 2% ไปมากและเศรษฐกิจยูโรโซนก็ฟื้นตัวได้ดี
ฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในเดือนกุมภาพันธ์ โดยตลาดมองว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องหลังการเปิดประเทศ สะท้อนผ่านยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่จะขยายตัวกว่า +3.4%YoY และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ก็จะขยายตัวราว +2.6%YoY สอดคล้องกับรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะช่วยหนุนให้ยอดการส่งออก (Exports) ของญี่ปุ่น เดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้นราว +7%YoY ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) จะขยายตัวกว่า +12%YoY ตามความต้องการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง ในส่วนผลการประชุมของธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) เราประเมินว่า BI จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.75% ต่อ หลัง BI อาจมองว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง และการขึ้นดอกเบี้ยก่อนหน้าอาจเพียงพอที่จะคุมปัญหาเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ค่าเงินรูเปียห์ (IDR) ก็เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
“ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน” พูนระบุ