*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของ Stranger Things ซีซัน 4 Volume 2
หลังจาก Stranger Things ซีซัน 4 ทิ้งให้แฟนๆ ตั้งทฤษฎีและความเป็นไปได้มากมายหลังจากที่ดู Volume 1 จบ ไม่ว่าจะเป็นการสันนิษฐานตัวละครที่อาจไม่ได้ไปต่อ ในที่สุด Volume 2 ก็ได้ลงจอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทฤษฎีต่างๆ ก็คลี่คลายจนได้ แต่ต้องบอกเลยว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของจุดจบของซีรีส์เรื่องนี้เท่านั้น
อย่างที่ผู้สร้างและทีมนักแสดงเองได้บอกไว้ในบทสัมภาษณ์หลายที่ว่า Volume 2 จะจัดเต็มทั้งในแง่ของเส้นเรื่องที่เข้มข้นและเอฟเฟ็กต์ที่จัดเต็มกว่าภาคไหนๆ ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่เขาว่า โดย Volume 2 เริ่มด้วยตอนที่ 8 ที่มีชื่อว่า Papa ความยาว 85 นาที ที่เป็นเหมือนองค์แรกของบทสรุป ซึ่งเน้นไปที่การเตรียมตัวต่อสู้กับวายร้าย ไม่ว่าจะเป็นทีม Hawkins ที่เตรียมอาวุธและวางแผนบุกเข้าไปในบ้านของครอบครัว Creele, ทีมรัสเซียที่หาทางกลับบ้าน และทีมแคลิฟอร์เนียกลุ่มชาวรถตู้ Surfer Boy Pizza กำลังออกตามหา Eleven ที่กำลังเรียกพลังกลับคืนมาในห้องทดลองลับ NINA ที่ปิดด้วยฉากระเบิดเฮลิคอปเตอร์กลางทะเลทรายที่แสดงให้เห็นว่า Netflix ทุ่มเงินไปกับเรื่องนี้ไม่น้อย
หลังจากทุกอย่างจะนำมาสู่จุดศูนย์รวมในซีซันฟินาเล่ตอนที่ 9 ที่ชื่อว่า The Piggyback (ที่แปลว่าการขี่หลัง) ด้วยความยาวกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งที่อาจจะดูนานเกินไปสำหรับซีรีส์ในแพลตฟอร์มสตรีมมิง แต่ก็ถือว่าเข้าใจได้ เพราะต้องพาทุกทีมที่มีอุปสรรคที่ต้องจัดการเป็นของตัวเองให้กลับมาเจอกันจนได้ และไหนต้องบิวด์อารมณ์ในฉากต่อสู้ของทุกๆ ทีมที่ดูเหมือนจะผิดแผนทุกครั้งจนทำเอาคนดูใจหล่นไปที่ตาตุ่มแบบฉากต่อฉาก
แต่ด้วยความสามาถของ The Duffer Brothers ที่เขียนทุกเส้นเรื่องให้กลับมาเจอกันที่ Hawkins ได้อย่างไร้รอยต่อ ผ่านการปูพื้นไว้ในภาคก่อนๆ ตั้งแต่พลังพิเศษของ Eleven ที่สามารถถอดจิตผ่านคลื่นวิทยุที่ทำให้เธอมาช่วย Max ได้จากอีกด้านของประเทศ ควบคู่ไปกับอธิบายการเกิด Upside Down และเปิดเผยว่าบอสด่านสุดท้ายที่อยู่เบื้องหลัง The Mind Flayer และ Demogorgon คือใคร ไปจนถึงการนำเพลง Running Up That Hill ของ Kate Bush กลับมารีไพรส์อีกครั้งในตอนที่ Eleven สู้กับ Vecna ครั้งสุดท้าย ที่แสดงให้เห็นว่าการเลือกเพลงที่กลายเป็นปรากฏการณ์และเป็นภาพจำของซีซันนี้ผ่านการคิดมาแล้วเป็นอย่างดี
ส่วนในซีซันนี้นักแสดงที่โดดเด่นและเป็นที่พูดถึงมากที่สุดกลับไม่ใช่ Eleven แต่เป็นเพื่อนๆ ของเธอ เช่น Will Byers ตัวละครที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงใน Volume 1 แต่ในตอนสุดท้ายได้ Noah Schnapp แสดงศักยภาพการแสดงด้วยการขโมยซีนในฉากอารมณ์ที่เผยความรู้สึกที่มีต่อ Mike Wheeler ทางอ้อม
และที่ขาดไปไม่ได้คือ Eddie Munson ตัวละครที่ทั้งเมืองเกลียด แต่เป็นที่รักของเพื่อนและคนดู ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้ Joseph Quinn นักแสดงชาวอังกฤษที่สามารถทำให้ผู้ชมหลงรักตัวละครได้ภายในซีซันเดียว บวกกับแรงส่งจาก Dustin Henderson (Gaten Matarazzo) ที่ไม่ว่าจะจับคู่กับใครก็สามารถทำให้เราเอาใจช่วยให้รอดพ้นอันตราย เหมือนกับที่เรารักคู่ดูโอ้พี่เลี้ยง Dustin-Steve
อย่างที่เรากล่าวไป ซีซันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของจุดจบเท่านั้น และได้ทิ้งคำถามและเนื้อเรื่องให้เราติดตามต่อไปในซีซันหน้า ทั้งอาการของ Max Mayfield ที่รอดพ้นจาก Vecna อย่างปาฏิหาริย์ และซีนทิ้งท้ายที่ประตูเชื่อมโลก Upside Down กับโลกมนุษย์ถูกเปิดออก ซึ่ง Eleven จะเป็นคนเดียวที่มีพลังพิเศษและจะจัดการกับโลกกลับด้านและ Vecna ที่รอดไปได้อย่างหวุดหวิดและอย่างไร
แต่โจทย์ที่ท้าทายที่สุดต่อไปของพวกเขาก็คือจะทำอย่างไรให้ซีซันที่ 5 ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายว่าจะทำออกมาได้ตามความคาดหวังหรือไม่ ด้วยเนื้อเรื่องและโปรดักชันที่ดูจะต้องยิ่งใหญ่กว่าภาคทุกภาคที่ผ่านมา และการเปิดเผยว่าซีซัน 5 จะมีเรื่องเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อให้เหมาะสมกับเรื่องอายุของนักแสดงที่ต่างเติบโตกันเป็นหนุ่มเป็นสาวในเวลาอันรวดเร็ว และสุดท้ายคือการอำลาตัวละครที่แฟนๆ ผูกพันอย่างไรให้สมฐานะซีรีส์แห่งยุค
นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2016 จนถึงตอนนี้ Stranger Things ได้พิสูจน์แล้วว่าได้กลายเป็นปรากฏการณ์ในวงการป๊อปคัลเจอร์ไปเป็นที่เรียบร้อย ทั้งเรื่องยอดผู้ชมที่ถล่มทลาย และฐานแฟนคลับที่อยู่ทั่วโลก การมาถึงของ Volume 2 และซีซัน 5 ในอนาคต จึงอาจเทียบเท่าได้กับความรู้สึกตอนนี้เราดู Avengers: Infinity Wars จบแล้ว ต้องทิ้งช่วงรอชมบทสรุปใน Endgame เพื่อปิดจักรวาล MCU หรือการรอชม แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต ในภาคสุดท้าย เพื่อรอดูบทสรุปของตัวละครที่เหมือนโตมาด้วยกันกับคนดู ซึ่งน้อยเรื่องนักที่จะสามารถทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคที่สตรีมมิงมีการแข่งขันสูงลิบ
ภาพ: Netflix
