สถานีโทรทัศน์ CNN เปิดเผยความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์จากหลายสำนักที่ลงความเห็นตรงกันว่า แม้ตลาดหุ้น Wall Street จะเปิดตลาดวันแรกในช่วงไตรมาส 4 ของปีในทิศทางบวก แต่พิจารณาจากปัจจัยไม่แน่นอนที่ยังคงมีอยู่ ทำให้ภาพรวมทิศทางตลาดหุ้นโดยรวมยังมีแนวโน้มไม่สดใส และน่าจะเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรงลากยาวไปจนถึงสิ้นปี 2022
ทั้งนี้ เหล่านักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นโดยรวมยังคง ‘มืดมน’ และคาดว่าจะมีความผันผวนมากขึ้น ด้วยความไม่แน่นอนมากมายเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ นโยบายของธนาคารกลาง และรายได้ของบริษัท บวกกับการล็อกดาวน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในจีน และวิกฤตด้านพลังงานในยุโรป ทำให้นักลงทุนอาจต้องเผชิญกับจุดจบของปีที่วุ่นวายเหมือนเดิม หลังจากผ่านไตรมาสที่เลวร้ายมาแทบตลอดทั้งปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘BOE’ รับเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิคแล้ว ขณะที่ ‘Goldman Sachs’ คาดอังกฤษจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ในปลายปีนี้
- รัฐบาลอังกฤษประกาศ ‘นโยบายภาษีและการใช้จ่ายครั้งใหญ่’ ทำเงินปอนด์ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุด ‘รอบ 37 ปี’
- นักเศรษฐศาสตร์ฟันธง เงินเฟ้อ ทั่วโลกผ่านจุดพีค แต่จะไม่กลับไปต่ำเท่ากับช่วงก่อนโควิด
ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.5% เมื่อวันศุกร์ (30 กันยายน) ทำให้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ดัชนีดังกล่าวลดลงไปแล้วเกือบ 24% ขณะที่ดัชนีหลักทั้ง 3 ตัวอยู่ในภาวะตลาดหมี หรือลดลงอย่างน้อย 20% จากระดับสูงสุดเมื่อเร็วๆ นี้ และบรรดานักเศรษฐศาสตร์เตือนให้เตรียมพร้อมเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย
สำหรับสิ่งที่ยังต้องจับตาเฝ้าระวังต่อก็คือตัวเลขเงินเฟ้อ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงยืนกรานเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังดัชนีชี้วัดเงินเฟ้อล่าสุดยังคงอยู่ในระดับสูง
Lisa Shalett หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของการบริหารความมั่งคั่งที่ Morgan Stanley กล่าวว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงไม่มองข้ามผลกระทบจากมติการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed เพราะเป็นนโยบายที่ทำให้โอกาสหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยยิ่งลดลง
โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Fed มีแนวโน้มจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% อีกครั้งในปีนี้
ขณะเดียวกัน ข้อมูลล่าสุดของกิจกรรมการผลิตของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวสุดในรอบเกือบ 2 ปีครึ่งในเดือนกันยายน เนื่องจากคำสั่งซื้อใหม่หดตัว ทำให้มีความเป็นไปได้มากว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ อาจทำให้อุปสงค์สินค้าต่างๆ ไม่ขยับเขยื้อน
ด้านราคาน้ำมันดิบเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ปรับตัวพุ่งขึ้นเกือบ 4 ดอลลาร์ โดยได้อานิสงส์จากการที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันและชาติพันธมิตร (OPEC+) พิจารณาปรับลดกำลังผลิตอีกกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยจะเป็นการปรับลดกำลังผลิตมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มเผชิญวิกฤตระบาดใหญ่ของโควิด ซึ่งยังไม่รวมถึงการปรับลดกำลังผลิตโดยสมัครใจของแต่ละชาติสมาชิกด้วย
โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสงวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 4.14 ดอลลาร์ ปิดที่ 83.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านน้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 3.72 ดอลลาร์ ปิดที่ 88.86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะเดียวกัน การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงยังส่งผลบวกต่อราคาทองคำ โดยเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ราคาทองคำปิดบวกต่อเนื่อง โดยราคาทองคำในตลาดโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 30 ดอลลาร์ หรือราว 2% ปิดที่ 1,702.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่เงินเพิ่มขึ้น 8.89% มาอยู่ที่ 20.69 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนสิงหาคม
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบสัปดาห์ ส่งผลให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น
อ้างอิง:
- https://edition.cnn.com/2022/10/03/investing/premarket-trading-stocks/index.html
- https://www.cnbc.com/2022/10/03/oil-markets-opec-supply-cut-interest-rates-us-dollar.html
- https://www.cnbc.com/2022/10/03/gold-markets-dollar-interest-rate-hikes-inflation.html
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP