‘Starbucks ’เผยยอดขายในอเมริกาพุ่ง หลังลูกค้ายอมจ่ายเงินซื้อกาแฟเย็นมากขึ้น พร้อมย้ำยังไม่มีแผนปรับขึ้นราคา ขณะที่จีนยังเจออุปสรรคโควิดทุบรายได้ลดลง
CNBC รายงานว่า Starbucks รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ผ่านมาสูงเกินกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยบริษัทเผยว่าเป็นเพราะลูกค้าซื้อเครื่องดื่มเย็น และ Pumpkin Spice Latte เพิ่มขึ้น 70%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ภาพลักษณ์ที่สะสมมานานเริ่มสั่นคลอน ‘Starbucks’ ถึงจุดตึงเครียดหลังพนักงานไม่เชื่อมั่น จริยธรรมองค์กรลดลง ‘ต่ำสุดในประวัติศาสตร์’
- เกิดอะไรขึ้นกับ Starbucks? เมื่อร้านกาแฟหัวก้าวหน้าอาจกำลังเริ่มหลงทาง สูญเสียมนต์เสน่ห์ และ Brand DNA ของตัวเอง
- งานวิจัยใหม่ชี้ การดื่มกาแฟ วันละ 2-3 แก้ว อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ‘อายุขัย’ ยืนยาวขึ้น
ราเชล รักเกอรี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน Starbucks กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2022 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 8.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 8.31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้น 7%
แม้บริษัทปรับขึ้นราคาเครื่องดื่มสูงขึ้นถึง 6% ตลอดทั้งปี แต่ปริมาณลูกค้าที่เข้าร้านในอเมริกากลับมาเท่ากับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดประมาณ 95% และทำยอดขายโตขึ้น 11% ต่อวัน
เป็นผลมาจากผู้คนใช้เงินเพิ่มขึ้น พบได้จากการซื้อเฉลี่ยต่อบิลมากขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงที่หลายคนได้มีการเลื่อนตำแหน่งที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
หลังจากบริษัทรายงานผลประกอบการ ทำให้ราคาหุ้นดีดขึ้นมา 2.7% หลังจากตลาดเปิดไม่กี่ชั่วโมง และยังย้ำว่าขณะนี้ยังไม่มีแผนปรับขึ้นราคาอีก
นอกจากนี้ Starbucks กล่าวต่อว่า พฤติกรรมลูกค้ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มน้ำเชื่อม (Syrup) วิปครีม หรือผลิตภัณฑ์ทดแทนนมลงในเครื่องดื่มเย็น ทำให้ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ยอดการจ่ายเงินในเครื่องดื่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ปัจจุบัน Starbucks ในอเมริกา มีสมาชิก 28.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16%
ด้าน โฮเวิร์ด ชูลท์ซ ผู้เป็นซีอีโอของ Starbucks กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมกลยุทธ์ในการพลิกโฉมธุรกิจใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและพนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการเพิ่มอุปกรณ์ใหม่เพื่อชงเครื่องดื่มเย็นได้ง่ายขึ้น
ขณะที่อุปสรรคใหญ่ยังอยู่ที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับที่ 2 ของ Starbucks ยังเจอข้อจำกัดเรื่องโควิด ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท โดยยอดขายสาขาเดิมลดลง 5% ซึ่งไม่สูงเท่ากับที่คาดการณ์เอาไว้ว่าจะลดลง 7.1%
สำหรับปีงบประมาณ 2023 บริษัทคาดการณ์ภาพรวมการเติบโต 12% แม้ว่าจะได้รับผลกระทบ 3% จากการแปลงสกุลเงินต่างประเทศ ขณะที่การเติบโตของกำไรต่อหุ้นน่าจะอยู่ที่ระดับต่ำสุดของช่วงก่อนหน้าที่ 15-20%
อ้างอิง: