×

เสพดราม่าให้ได้เรื่อง เราเรียนรู้อะไรจากข่าวดาราเลิกกับแฟน

25.08.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins Read
  • ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนเลย แม้แต่คนที่เราดูว่ารักกันมากก็ยังเลิกกันได้ ตอนรักกันดูหวานชื่น พอเลิกกันอย่างกับหนังคนละม้วน
  • “ผู้หญิงจะเก่งมาจากไหนก็ตาม แต่บนพื้นที่สื่อมวลชน เธอเป็นได้แค่เมียใครสักคน”
  • จริงอยู่ว่าหน้าที่ของข่าวบันเทิงคือการให้ความบันเทิง (ซึ่งอะไรคือความบันเทิงเริงใจของการที่คนเลิกกันวะ งง!) แต่คำถามก็คือ สื่อมวลชนได้ให้พื้นที่กับมิติความเป็นมนุษย์ด้านอื่นๆ ของคนที่เป็นข่าวหรือไม่

      อะไรคือการที่ข่าว เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ์ เลิกกับแฟนแล้วถึงกับเป็นวาระแห่งชาติ บางสำนักข่าวถึงกับยกให้เป็น breaking news (ภาพแฟลชแบ็กไปเมื่อหลายปีก่อนที่โทรทัศน์ถึงกับมีการถ่ายทอดสดการจดทะเบียนสมรสของเธอจากบ้านอัศวเหม และทุกคนในออฟฟิศข้าพเจ้าหยุดทุกการกระทำเพื่อมามุงโทรทัศน์) หลายเพจพากันขุดคุ้ยที่มาของดราม่าครั้งนี้กันยกใหญ่ บ้างมีแผนภาพเรียงลำดับเหตุการณ์ให้ บ้างมีการโยงภาพในไอจีของคนนั้นคนนี้มาขยายความดราม่าต่อ​
      ข่าวดาราเลิกกันนั้นเหมือนจะไร้สาระ แต่ก็มีสาระให้เราได้วิเคราะห์กันอยู่ และเราสามารถเรียนรู้ได้จากทุกอย่าง แม้กระทั่งดราม่า
​ และนี่คือสิ่งที่ข่าวดาราเลิกกันกำลังบอกเราอยู่โดยมองผ่านเลนส์ของความรัก สัจธรรมชีวิต การทำงานของสื่อมวลชน มิติภาพลักษณ์ของผู้หญิง และการตลาด


มองในมุมพี่อ้อยพี่ฉอด

      “ไม่มีอะไรแน่นอนเลยในชีวิต”

      มีรักได้ ก็มีเลิกได้ เป็นเรื่องที่เราก็รู้กันอยู่แล้ว แต่การมีตัวอย่างให้เห็นคาตามันช่วยยืนยันความจริงในข้อนี้ได้ดี
​      เอาจริงๆ ตอนที่รักกัน ไม่มีใครคิดว่ามันจะต้องเลิกกันหรอก แต่ทำยังไงล่ะ มันจะเลิกก็ต้องเลิกนี่หว่า อยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุขก็แยกย้ายไปมีความสุขบนทางใครทางมันดีกว่า

      ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนเลย แม้แต่คนที่เราดูว่ารักกันมากก็ยังเลิกกันได้ ตอนรักกันดูหวานชื่น พอเลิกกันอย่างกับหนังคนละม้วน

      เราผ่านข่าว แบรด พิตต์ เลิกกับ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน มาแล้ว ยันแบรด พิตต์ เลิกกับ แอนเจลินา โจลี เราผ่านข่าว บริตนีย์ สเปียร์ส เลิกกับ จัสติน ทิมเบอร์เลก มาแล้ว เราผ่านข่าว เทย์เลอร์ สวิฟต์ เลิกกับ… (ใครบ้างนะลืมแล้ว เยอะเกิ๊น!) เราผ่านข่าว พี่แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ เลิกกับ พี่แหม่ม คัทลียา มาแล้ว เราผ่านข่าว พี่หมิว ลลิตา เลิกกับ สารวัตรก้อง มาแล้ว ฯลฯ และเราเห็นว่าทุกคนยังคงใช้ชีวิตต่อไปตามเส้นทางของตัวเอง

      นิโคล คิดแมน ได้ออสการ์หลังจากเลิกกับ ทอม ครูซ ต่อมาได้แต่งงานมีชีวิตครอบครัวกับ คีธ เออร์เบิน อย่างมีความสุข และพอร์ตฟอลิโองานของเธอก็ดีวันดีคืน
      เจดา พิงเก็ต สมิธ บอก วิล สมิธ ว่าให้เชิญภรรยาคนแรกของเขามาร่วมคริสต์มาสกับครอบครัวด้วยทุกปี เพื่อให้ลูกได้เจอกับแม่ และไม่รู้สึกว่าพ่อลืมแม่ไป
      มาดอนน่า เลิกกับ ฌอน เพนน์ ตั้งนานแล้ว แต่ฌอนยังคงไปดูคอนเสิร์ตมาดอนน่า (และมาดอนน่ายังแซวว่า “มันใช้เวลา 25 ปีที่ในที่สุดเขาก็ชื่นชมศิลปะของฉัน การแต่งงานก็เป็นแบบนั้นแหละค่ะ”) และมาดอนน่าก็ยังมาช่วยงานการกุศลของฌอน
      อเดลเลิกกับแฟนเก่า และใช้ความเสียใจมาแต่งเป็นเพลงที่โคตรเพราะ โคตรดี และโคตรดัง อัลบั้มของเธอขายดีถล่มทลายแม้ในยุคดิจิทัลดาวน์โหลด กวาดรางวัลแกรมมี่ และทุกวันนี้เธอมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข

      พวกเขามีชีวิตใหม่หลังปิดฉากความรักครั้งเก่า และมีความสุขดีด้วย

      ความเจ็บปวดจะไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป แต่ในระหว่างที่มันยังอยู่กับเรา เรียนรู้จากมันให้ได้มากที่สุด ตักตวงประสบการณ์จากมันให้ได้มากที่สุด เพราะมันมาเพื่อสอนให้เราแข็งแกร่งขึ้นโดยเฉพาะ และมันจะเป็นอีกเรื่องที่ผ่านไป



มองในมุมนักแสดง นักวารสารศาสตร์ และเฟมินิสต์

      “ผู้หญิงจะเก่งมาจากไหนก็ตาม แต่บนพื้นที่สื่อมวลชน เธอเป็นได้แค่เมียใครสักคน”

      เจนี่ออกน้ำหอมแบรนด์ตัวเองที่เธอสู้อุตส่าห์ทุ่มเทดูทุกรายละเอียดจนน้ำหอมของเธอออกมา (อ้าว จริงดิ! เพิ่งรู้) เธอเป็นนักธุรกิจ (เชียวนะเฟ้ย!) แต่พอถึงงานอีเวนต์ นักข่าวจะถามพอเป็นพิธีให้เธอได้พูดโปรโมตน้ำหอมตัวเองนิดหนึ่ง และสุดท้ายน้ำหนักข่าวเกือบทั้งหมดออกมาเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของเธอ
      และนั่นแหละ เราเลยไม่รู้ด้านอื่นเกี่ยวกับตัวเธอนอกจากเรื่องรักๆ ใคร่ๆ

      ถ้าคุณได้ดู ‘เพลิงบุญ’ คุณคงคิดเหมือนกันว่า เจนี่แสดงดีมาก เธอเป็นนักแสดงที่มีความสามารถ และเรารู้สึกได้ว่าเธอตั้งใจกับบทนี้อย่างจริงจัง แต่ก็อีกนั่นแหละ พื้นที่ที่สื่อมวลชนให้เธอนั้นจำกัดไว้เพียงแค่เรื่องความสัมพันธ์ของเธอ
      พูดอย่างเฟมินิสต์ก็คือ บทบาทของผู้หญิงในสื่อมวลชนเป็นได้แค่แม่และเมีย ไม่ใช่บทบาทของคนที่มีความสามารถ ต่อให้พื้นที่ที่เธออยู่จะเป็นพื้นที่การทำงาน (เช่น อยู่ในงานแถลงข่าวผลงานทางธุรกิจของเธอ) แต่สุดท้าย เธอก็ยังถูกลากกลับไปที่เรื่องบนเตียงว่าเธอจะรักจะเลิกกับใคร ความเป็นนักธุรกิจของเธอ หรือความเป็นนักแสดงมืออาชีพ ไม่ได้มีความหมายบนพื้นที่สื่อเลย
      เธอทำงานเก่งแค่ไหน สุดท้ายพื้นที่ที่สื่อให้เธอได้ยืนคือแค่เป็นผู้หญิงของใครสักคน ไม่ใช่ผู้หญิงที่มีความสามารถและมีคุณค่าได้ด้วยผลงานของตัวเอง เธอมีคุณค่าได้เมื่อถูกยึดโยงกับผู้ชาย (เธอจะเป็นแฟนของใคร เธอจะเลิกกับใคร)

 

 

      ที่จริงนอกจากฐานะคนรัก เธอยังมีบทบาทเป็นนักแสดง เป็นนักธุรกิจ เป็นมนุษย์ เป็นผู้หญิง เป็นประชากรในสังคม ฯลฯ มีอีกหลายบทบาทที่เธอควรได้ฉายมัน
      ทำไมเธอถึงมาทำธุรกิจน้ำหอม เธอสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมาอย่างไร เธอวางแผนอนาคตไว้แบบไหน เธอสร้างความแตกต่างจากน้ำหอมอื่นอย่างไร เจนี่เวอร์ชันนักธุรกิจเป็นแบบไหน ฯลฯ
เธอเข้าถึงบทบาทใจเริงอย่างไร เธอเตรียมตัวอย่างไร เธอสร้างมิติตัวละครตัวนี้ขึ้นมาอย่างไร เธอเรียนรู้อะไรจากบทนี้บ้าง เธอมองหาบทแบบไหน เธอมองอุตสาหกรรมบันเทิงไทยในเวลานี้อย่างไร ความท้าทายในชีวิตของเธอคืออะไร เธอก้าวข้ามผ่านการตัดสินของคนในสังคมมาได้อย่างไร เธอคิดว่ากฎหมายแรงงานคุ้มครองวิชาชีพนักแสดงหรือเปล่า เธอเรียนรู้อะไรจากการอยู่วงการนี้บ้าง ฯลฯ
      มีคำถามอีกมากมายที่ทำให้เราได้เห็นมิติอื่นของเธอ รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ด้วย แต่มันไม่เคยถูกถาม

      จริงอยู่ว่าหน้าที่ของข่าวบันเทิงคือการให้ความบันเทิง (ซึ่งอะไรคือความบันเทิงเริงใจของการที่คนเลิกกันวะ งง!) แต่คำถามก็คือ สื่อมวลชนได้ให้พื้นที่กับมิติความเป็นมนุษย์ด้านอื่นๆ ของคนที่เป็นข่าวหรือไม่
      นึกภาพตามแบบนี้แล้วกันว่า… ข้างหน้าคุณคือผู้หญิงที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในวงการบันเทิงมาหลายสิบปี มีผลงานที่ก้าวหน้า มีจิตวิญญาณนักแสดง มีประสบการณ์ชีวิตมากมาย และสิ่งที่คุณถามเธอคือ “ตกลงเลิกกับผู้ชายแล้วเหรอ”
      มันก็เป็นการบอกเธอและบอกคนดูข่าวว่า “ฉันไม่แคร์หรอกว่าเธอจะมีความสามารถ สิ่งที่ฉันแคร์คือเธอจะได้มีผัวกับเขาไหม”
      มันไม่ดูถูกมันสมองของเธอไปหน่อยหรือ


มองในมุมนักประชาสัมพันธ์

      เรารู้ว่าเจนี่เลิกกับกึ้งแล้ว แต่เราไม่รู้ (และไม่แคร์ด้วย) ว่าเธอให้สัมภาษณ์ที่งานอีเวนต์ของแบรนด์อะไร”

      สูตรคลาสสิกตายตัว (และโคตรน่าเบื่อ) ของการทำประชาสัมพันธ์สมัยก่อนที่อยากให้ข่าวของแบรนด์ได้ลงเยอะๆ ก็คือ จ้างดารามางานอีเวนต์ ยิ่งดาราดังหรือมีกระแสข่าวในตอนนั้นเท่าไรยิ่งเรียกนักข่าวได้ นำไปสู่การได้พื้นที่ข่าวมากๆ แล้วก็ เออ…ได้ลงข่าวมากจริงด้วยเว้ยเฮ้ย ถ้าภาษานักประชาสัมพันธ์ก็คือ ได้ PR Value เพียบ!
​ แต่ถ้าลองวิเคราะห์เนื้อข่าวดีๆ ข่าวที่ได้ลงส่วนใหญ่จะเป็นข่าวดารา เขายังรักกันว่ะ หรือเขาเลิกกันแล้ว ไอ้ที่เขาเมาท์กันว่าแม่ฝ่ายชายไม่ปลื้มน่ะจริงหรือเปล่า ฯลฯ ส่วนแบรนด์ที่ลงทุนจ้างดารามาอีเวนต์ก็ได้ผลบุญแค่… ได้เห็นโลโก้บนแบ็กดรอปบนข่าว หรือได้แค่เขียนถึงชื่อแบรนด์ในข่าว
      คนรู้ไหมว่าอีเวนต์นี้คืออะไร ผลิตภัณฑ์ที่ออกมานี่มันดียังไง ไม่รู้ รู้แต่ว่าดาราเขาเลิกกัน เห็นโลโก้แบรนด์อยู่ในข่าวอยู่นิดหนึ่ง แต่แคร์ไหม ไม่
      เออว่ะ… แล้วแบรนด์ได้อะไร

      ถ้าจุดมุ่งหมายของการทำประชาสัมพันธ์คือการสร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์และทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ คำถามก็คือการได้เห็นแค่โลโก้ของแบรนด์อยู่เป็นเงาข้างหลังดารา หรือการได้แค่อ้างอิงชื่อแบรนด์มาหนึ่งคำในเนื้อข่าวที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแบรนด์ที่สู้อุตส่าห์จัดงานอีเวนต์ราคาเป็นล้านเลย มันตอบโจทย์การสร้างความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ตรงไหน
      ต่อให้ได้ลงข่าวเยอะแค่ไหนก็ตาม แต่เนื้อข่าวไม่ได้กลับมาที่แบรนด์ การสื่อสารนั้นก็ล้มเหลว
​แบรนด์ที่ยังมัวแต่ภูมิใจว่า ดูสิ แบรนด์เรามีข่าวเยอะเลย PR Value เพียบ อาจจะต้องกลับไปดูว่า ข่าวที่ลงกันเยอะๆ นั้นกลับมาที่แบรนด์แค่ไหน และการจัดงานอีเวนต์ราคาเป็นล้านแล้วต้องจ้างดาราค่าตัวเป็นหมื่นเป็นแสนมายืนหน้าแบ็กดรอปให้ได้เป็นข่าว (ของดารา) มันใช่สิ่งที่ดีต่อแบรนด์อย่างแท้จริงหรือเปล่า
      หรือควรใช้ไอเดียให้มากขึ้นเพื่อหาวิธีการสื่อสารที่ตอบโจทย์เรื่องการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ได้จริงๆ ไปทำคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคจริงๆ อย่างต่อเนื่องยั่งยืนจะดีกว่าหรือไม่

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising