Tether ผู้ออกเหรียญ Stablecoin (USDT) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (13 ตุลาคม) ว่าบริษัทได้ขายตราสารหนี้เอกชนระยะสั้นที่ถืออยู่ในเงินสำรอง เพื่อไปซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อย
ทั้งนี้ ตามข้อตกลงกับอัยการสูงสุดแห่งรัฐนิวยอร์กเดือนกุมภาพันธ์ 2021 Tether จำเป็นต้องเปิดเผยรายงานเกี่ยวกับเงินสำรองรายไตรมาส ซึ่งในรายการดังกล่าวเปิดเผยว่า Tether มีทุนสำรองประมาณ 50% ที่อยู่ในตราสารหนี้เอกชน ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง โดย Tether เริ่มขายตราสารหนี้เอกชนในเดือนกันยายน 2021 และเข้าถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แทน เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพมากกว่า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Bitcoin Rainbow Chart อัปเดตแถบสีม่วงอันใหม่ ‘1 BTC = 1 BTC’ หลังจากราคาบิทคอยน์ดิ่งลงต่อเนื่อง
- 5 สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับ Ethereum หลังการอัปเกรดครั้งสำคัญ ‘The Merge’
- เจมี ไดมอน จาก JP Morgan ชี้ สกุลเงินดิจิทัลรวมถึง Bitcoin เป็นแชร์ลูกโซ่แบบกระจายอำนาจ
และล่าสุด อ้างอิงข้อมูลในเว็บไซต์ของ Tether เมื่อ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่า Tether ถือครองตราสารหนี้เอกชนระยะสั้นแบบไม่เปิดเผยมูลค่ากว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.3 แสนล้านบาท
ด้านข้อมูลของ DeFi LIma ชี้ว่า เหรียญ USDT มีปริมาณการหมุนเวียนสูงถึง 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดของ Stablecoin กว่า 46%
ซึ่ง USDT นั้นกำลังถูกจับจ้องโดยสายตาของเหล่าผู้กำกับดูแลจากทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้ออกเหรียญ Stablecoin รายใหญ่ของโลก ที่มีการนำไปตรึงมูลค่าเทียบเท่ากับสกุลเงินดอลลาร์, สกุลเงินยูโร และสกุลเงินเปโซเม็กซิโก จากการที่นำเงินสำรองของบริษัทเข้าไปถือตราสารหนี้เอกชนที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ Stablecoin นับว่าเป็นส่วนขับเคลื่อนสำคัญของปริมาณการเทรดคริปโตเคอร์เรนซีต่อวัน โดยจากข้อมูลของ CoinMarketCap ชี้ว่า เหรียญดังกล่าวมีวอลุ่มเป็นสัดส่วนสูงถึง 87-94% ต่อวันจากปริมาณการเทรดคริปโตทั้งหมดต่อวัน
อย่างไรก็ตาม เหรียญ Stablecoin ทั้งของ Tether และบริษัทอื่นๆ เริ่มถูกนำมาใช้สำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศมากขึ้น จากบริษัททางการเงินชั้นนำอย่าง Visa และ BlackRock ซึ่งก็ทำให้ถูกจับจ้องถึงประเด็นด้านความโปร่งใสเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัวจากฝ่ายกำกับดูแล
นอกจากนี้ แม้เหรียญ Stablecoin อย่าง USDT จะเคยหลุดจากการตรึงมูลค่าจากการโดนแห่ขายอย่างหนักในช่วงที่เกิดความกังวลของเครือข่าย Terra ที่พังลง เหรียญดังกล่าวก็สามารถกลับมาได้ และมีประเด็นความเสี่ยงเชิงระบบน้อยกว่า Algorithmic stablecoin แต่ก็ยังต้องเผชิญความเสี่ยงด้านกฎหมายอยู่เช่นกัน
อ้างอิง:
- https://finance.yahoo.com/news/stablecoin-tether-treasuries-195127396.html
- https://forkast.news/headlines/tether-slash-commercial-paper-treasury-bills/