จากการให้สัมภาษณ์ของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผ่าน THE STANDARD WEALTH และการให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมในภายหลังของวันนี้ (15 กันยายน)
THE STANDARD WEALTH ได้สอบถามถึงประเด็นภาษีขายหุ้น (Transaction Tax) ที่รัฐบาลชุดก่อนหน้านี้มีแผนว่าจะเรียกเก็บเพิ่มเติม ล่าสุดเศรษฐากล่าวว่า “ฟันธงได้เลยว่าตลอด 4 ปีไม่มีแน่นอน ตอนนี้คงไม่ไหว เพราะตลาดหุ้นเปราะบางเหลือเกิน และเงินทุนไหลออกด้วย”
เศรษฐายังได้เปิดเผยอีกด้วยว่า “เรื่องของการลงทุนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งผมจะเดินทางไปร่วมงาน UNGA สมัยที่ 78 ก็ถือโอกาสไปพบกับนักลงทุนที่สนใจจะลงทุนในประเทศไทยหลายบริษัทขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Google, Estee Lauder หรือ Tesla โดยจะเข้าพบเบอร์หนึ่งหรือเบอร์สองของบริษัท เพื่อเชื้อเชิญเข้ามาลงทุนในไทย บอกเล่าว่าประเทศไทยดีอย่างไร เหนือประเทศคู่แข่งอย่างไรบ้าง”
สิ่งที่รัฐบาลใหม่พยายามทำในเวลานี้คือ เอื้อให้ภาคเอกชนและนักลงทุนสามารถทำงานได้ เพื่อกระตุ้นการลงทุน
นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงเรื่องความเสี่ยงทางการคลังของรัฐบาล จากการที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ต้องใช้นโยบายขาดดุลเพิ่มขึ้นราว 1 แสนล้านบาท และอาจทำให้ประเทศถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงได้ เศรษฐาชี้แจงว่า “ไม่กังวลครับ หากเราสามารถชี้แจงที่มาที่ไปและอนาคตได้ว่าหลังจากที่เราลงทุนไปแล้ว GDP จะเพิ่มขึ้นเท่าไร ตอนนี้ค่อนข้างมั่นใจหลังจากทำงานร่วมกันดีกับทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.), สภาพัฒน์ และแบงก์ชาติ”
ส่วนประเด็นเรื่องเงินดิจิทัล 10,000 บาท เศรษฐาเปิดเผยว่า รายละเอียดในเรื่องของงบประมาณว่าจะมาจากแหล่งไหนบ้างจะเปิดเผยได้ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ในเบื้องต้นยืนยันว่าจะเดินหน้าโครงการอย่างแน่นอน โดยจะแจกให้กับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวนราว 54 ล้านคน กำหนดเวลาใช้จ่ายภายใน 6 เดือน แลกเป็นเงินสดไม่ได้ ใช้ชำระหนี้ไม่ได้ และซื้อสินค้าบางประเภทไม่ได้ เช่น สุราหรือบุหรี่ เป็นต้น ส่วนขอบเขตพื้นที่การใช้จ่ายอาจมีการทบทวนในบางพื้นที่ที่ห่างไกล จากเดิมที่กำหนดไว้ว่าภายในรัศมี 4 กิโลเมตรจากที่อยู่ตามบัตรประชาชน
“จุดประสงค์หลักของโครงการนี้คือ การกระจายความเจริญกลับไปสู่ภูมิภาค ไม่ใช่แค่การใช้ในเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ, เชียงใหม่ หรือภูเก็ต” เศรษฐากล่าว