The Boogeyman คือภาพยนตร์สยองขวัญที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องสั้นในชื่อเดียวกันของ Stephen King นักเขียนนิยายสยองขวัญชื่อดังผู้อยู่เบื้องหลังผลงานระดับขึ้นหิ้งมากมาย เช่น IT, The Shining, The Mist ฯลฯ โดยได้ Scott Beck, Bryan Woods จาก A Quiet Place (2018) และ Mark Heyman จาก Black Swan (2010) มารับหน้าที่เขียนบท พร้อมด้วย Rob Savage ผู้กำกับจาก Host (2020) มาร่วมตีความเรื่องราวสุดสยองบนหน้ากระดาษให้ออกมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์
ภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องราวของ Will Harper (Chris Messina) นักจิตบำบัดที่เพิ่งจะสูญเสียภรรยาผู้เป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาจึงต้องคอยดูแลลูกสาวทั้งสองคนอย่าง Sadie Harper (Sophie Thatcher) และ Sawyer Harper (Vivien Lyra Blair) ที่กำลังโศกเศร้ากับความสูญเสียที่เกิดขึ้น
กระทั่งวันหนึ่ง Will ได้มาพบกับผู้ป่วยปริศนานาม Lester Billings (David Dastmalchian) ที่มาขอความช่วยเหลือ โดยอ้างว่าลูกๆ ของเขาถูกปีศาจร้ายฆ่าตาย ไม่นานจากนั้น Sadie, Sawyer และ Will ก็ได้พบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง และมีเพียงพวกเขาทั้ง 3 คนเท่านั้นที่จะช่วยเหลือกันและกันได้
ย้อนกลับไปในนิยายต้นฉบับของ Stephen King ซึ่ง The Boogeyman เล่าเรื่องราวของ Dr.Harper นักจิตบำบัดที่ได้มาพบกับ Lester Billings ที่ครอบครัวของเขาต้องเผชิญกับปีศาจปริศนานาม The Boogeyman โดยเรื่องราวส่วนใหญ่จะโฟกัสไปที่มุมมองของ Lester Billings เป็นหลัก
แต่คราวนี้ผู้กำกับและทีมสร้างตัดสินใจที่จะนำเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองของ Will Harper แทน ซึ่งเปิดโอกาสให้ทีมสร้างได้มีพื้นที่ในการตีความและต่อยอดเรื่องราวจากต้นฉบับให้กว้างขวางมากขึ้น
และหนึ่งในจุดเด่นของภาพยนตร์ที่ผู้เขียนคิดว่าทีมสร้างนำเสนอออกมาได้น่าสนใจ นั่นคือการพาผู้ชมเข้าไปสำรวจความโศกเศร้าของครอบครัว Harper อย่างใกล้ชิด เริ่มตั้งแต่ Sadie ที่ยังคงคิดถึงแม่ที่จากไป แต่เธอยังต้องไปโรงเรียนและเจอกับเพื่อนที่ไม่ถูกคอเข้ามาก่อกวนอยู่หลายครั้ง หรือ Will ที่แม้ว่าตัวเองกำลังอ่อนแอ แต่ก็ต้องพยายามทำตัวให้เข้มแข็ง เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับลูกสาวทั้งสองคน
การค่อยๆ พาผู้ชมเข้าไปสำรวจปมปัญหาและความรู้สึกของตัวละครอย่างใกล้ชิด ถือเป็นจุดแข็งของเรื่องที่ทำให้เราได้ทำความเข้าใจและมีความรู้สึกร่วมไปกับเหตุการณ์ที่ตัวละครกำลังเผชิญได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกัน การที่ครอบครัว Harper ต้องเผชิญหน้ากับ The Boogeyman ในช่วงเวลาที่จิตใจของพวกเขา ‘เปราะบาง’ ที่สุด เราก็อาจตีความตัวตนของ The Boogeyman ได้ในแง่มุมหนึ่งว่า The Boogeyman คือภาพสะท้อนของ ‘ความอ่อนแอ’ ที่พวกเขาพยายามจะ ‘มองข้าม’ และทำเป็นว่ามันไม่มีอยู่จริง จนความอ่อนแอดังกล่าวก็ค่อยๆ คืบคลานและตามหลอกหลอนพวกเขาหนักขึ้นไปเรื่อยๆ
พร้อมกันนั้น เรื่องราวการเอาชีวิตรอดของครอบครัว Harper ก็อาจกำลังบอกกับผู้ชมอย่างอ้อมๆ ว่าบางครั้งการข้ามผ่านความโศกเศร้าหรือความอ่อนแอในจิตใจของตนเอง อาจเป็นการ ‘ยอมรับ’ ว่าเรากำลังอ่อนแอ และ ‘เผชิญหน้า’ กับมันอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับมัน ‘ตามลำพัง’ เสมอไป แต่เราสามารถจับมือกับผู้คนรอบข้างเพื่อข้ามผ่านมันไปด้วยกันได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม The Boogeyman มีข้อสังเกตที่เราแอบติดขัดอยู่เล็กๆ นั่นคือการนำเสนอที่ดูเนือยๆ ไปสักหน่อย แม้ว่าผู้กำกับจะมีการสอดแทรกฉากสยองขวัญเข้ามาให้เราได้หวาดผวาอยู่บ้างเพื่อไม่ให้กราฟของเรื่องดูนิ่งเกินไป แต่เราก็รู้สึกว่ายังมีบางฉากที่ผู้กำกับสามารถนำเสนอให้กระชับกว่านี้ได้ รวมไปถึงการตัดสินใจของตัวละครในบางช่วงที่เราแอบรู้สึกไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก
ในภาพรวมแล้ว แม้ว่า The Boogeyman มีข้อสังเกตที่เราแอบติดขัดอยู่บ้าง แต่จุดเด่นที่เราชื่นชอบมากๆ คือประเด็นของตัวละครที่ถูกนำเสนอได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะการพาเราเข้าไปสำรวจความอ่อนแอของพวกเขาที่ต้องเผชิญกับความสูญเสีย และการพยายามโอบกอดกันและกันด้วยวิธีของตัวเอง ซึ่งชวนให้เราเข้าใจและผูกพันกับตัวละครมากขึ้นตามไปด้วย
The Boogeyman เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่
ภาพ: 20th Century Studios
อ้างอิง: