×

Indiana Jones and the Dial of Destiny เครื่องเล่นวัยเด็กที่เราคิดถึง แต่เล่นจบแล้วก็จบกันไป

03.07.2023
  • LOADING...

Indiana Jones and the Dial of Destiny ภาพยนตร์ลำดับที่ 5 ของแฟรนไชส์หนังแอ็กชันผจญภัยระดับตำนาน และยังถือเป็นการกลับมารับบท Indiana Jones เป็นครั้งสุดท้ายของ Harrison Ford หลังจากสวมหมวกถือแส้เพื่อออกล่าขุมทรัพย์มายาวนานร่วม 42 ปี โดยครั้งนี้ได้ James Mangold ผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมอย่าง Walk the Line (2005), Logan (2017), Ford v Ferrari (2019) ฯลฯ มานั่งแท่นผู้กำกับ พร้อมด้วย Jez Butterworth, John-Henry Butterworth จาก Ford v Ferrari และ David Koepp จาก Spider-Man (2002) มารับหน้าที่เขียนบทร่วม

 

Indiana Jones and the Dial of Destiny พาผู้ชมไปติดตามเรื่องราวของ Indiana Jones ในขวบปีที่ใกล้จะเกษียณอายุจากการเป็นอาจารย์สอนวิชาโบราณคดี รวมถึงการเป็นนักผจญภัยออกล่าขุมทรัพย์ กระทั่งวันหนึ่ง Indiana Jones ได้โคจรมาพบกับ Helena (Phoebe Waller-Bridge) ลูกสาวของอดีตเพื่อนร่วมงานอย่าง Basil Shaw (Toby Jones) ที่มาคุยกับเขาเกี่ยวกับกงล้อแห่งโชคชะตา วัตถุโบราณที่กล่าวกันว่ามีพลังในการย้อนเวลา แถมวัตถุโบราณดังกล่าวยังเป็นเป้าหมายที่ Jürgen Voller (Mads Mikkelsen) อดีตนักวิทยาศาสตร์ของกองทัพนาซีกำลังออกตามหา จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Indiana Jones ต้องกลับมาออกผจญภัยอีกครั้งเพื่อขัดขวางแผนการร้ายของ Jürgen Voller ให้สำเร็จ 

 


บทความที่เกี่ยวข้อง:


 

 

ด้วยชื่อของ James Mangold ที่เคยพาผู้ชมไปติดตาม ‘บทสรุป’ ของหนึ่งในฮีโร่ชื่อดังอย่าง Wolverine (Hugh Jackman) ในภาพยนตร์เรื่อง Logan ที่อัดแน่นไปด้วยประเด็นดราม่าสุดเข้มข้นและฉากแอ็กชันเลือดสาด ซึ่งได้เสียงชื่นชมจากแฟนๆ ทั่วโลกอย่างล้นหลาม ดังนั้นแล้วการที่ Indiana Jones and the Dial of Destiny ได้ James Mangold มานั่งแท่นผู้กำกับ ก็เสริมให้ตัวภาพยนตร์น่าติดตามมากขึ้นว่าผู้กำกับและทีมสร้างจะนำเสนอเรื่องราวการผจญภัย ‘ครั้งสุดท้าย’ ของ Indiana Jones อีกหนึ่งตัวละครสุดไอคอนิกแห่งโลกภาพยนตร์ออกมาในรูปแบบไหน 

 

ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า James Mangold และทีมสร้างพาแฟนๆ ไปร่วมออกผจญภัยกับ Indiana Jones ที่ทุกคนต่างคิดถึงได้สนุกสนานจริงๆ กล่าวคือ Indiana Jones and the Dial of Destiny คือภาพยนตร์ที่อัดแน่นไปด้วยมนตร์เสน่ห์ของ Indiana Jones ภาคเก่าที่แฟนๆ คิดถึงไว้อย่างครบถ้วน ไล่เรียงตั้งแต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างซาวด์เอฟเฟกต์ต่อยตีและเสียงฟาดแส้สุดคลาสสิกที่เราแทบจะไม่ค่อยได้ยินแล้วในภาพยนตร์แอ็กชันยุคปัจจุบัน ฉากแอ็กชันไล่ล่าที่ผสมความคอเมดี้ไว้ได้อย่างลงตัว การบอกเล่าตำนานและออกตามหาวัตถุโบราณชิ้นใหม่ หรือการได้ยินดนตรีประกอบจากปลายปากกาของ John Williams อีกครั้งด้วยระบบเสียงของโรงภาพยนตร์ ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโมเมนต์ที่ทำให้เราน้ำตาซึมขณะชมได้ดีทีเดียว

 

 

ขณะเดียวกัน เมื่อผู้กำกับและทีมสร้างตัดสินใจที่จะนำเสนอเรื่องราวด้วยกลิ่นอายสุดคลาสสิกเช่นนี้ มันก็ส่งผลให้ Indiana Jones and the Dial of Destiny เป็นภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยที่ดำเนินเรื่องตามสูตรสำเร็จ ย่อยง่าย ไม่ได้มีจุดไหนที่อยู่เหนือความคาดหมายของเรามากนัก 

 

สำหรับผู้เขียนแล้ว Indiana Jones and the Dial of Destiny จึงเสมือนเป็นเครื่องเล่นรถไฟเหาะเครื่องเดิมที่เราเคยนั่งเล่นในวัยเด็ก เราทราบเป็นอย่างดีว่าเมื่อถึงตรงนี้รถไฟจะเลี้ยวโค้งตีลังกาแบบนี้ แต่ถึงแม้เราจะทราบดีอยู่แล้ว การได้กลับมานั่งบนเครื่องเล่นที่เราคิดถึงอีกครั้งก็ยังคงสร้างความสนุกสนานและทำให้เราอมยิ้มกับการได้เห็น Harrison Ford กลับมาสวมหมวกถือแส้อีกครั้งบนจอภาพยนตร์ได้จริงๆ 

 

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราแอบเสียดายใน Indiana Jones and the Dial of Destiny คือประเด็นของ Indiana Jones ที่ถูกปูไว้ได้เป็นอย่างดี กับเรื่องราวของ Indiana Jones ที่ต้องเผชิญกับ ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ของยุคสมัย ยุคที่ผู้คนเริ่มจะเบื่อหน่ายกับโบราณคดี และหันไปสนใจในวิทยาศาสตร์และการเดินทางสู่ดวงจันทร์ ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นนักผจญภัยมากฝีมืออย่างที่เคยเป็น แต่เป็นเพียงอาจารย์ใกล้เกษียณที่ไม่มีใครเหลียวมอง 

 

แต่ผู้กำกับและทีมสร้างกลับไม่ได้พาผู้ชมเข้าไปสำรวจประเด็นดังกล่าวมากนัก ทั้งๆ ที่ภาพยนตร์มีความยาวมากถึง 2 ชั่วโมง 30 นาทีเศษ แต่ภาพยนตร์กลับเน้นหนักไปที่ฉากแอ็กชันและการตามหาวัตถุโบราณเป็นส่วนใหญ่ เราจึงแอบเสียดายว่าหากผู้กำกับและทีมสร้างแบ่งเวลามาเล่าประเด็นของ Indiana Jones อย่างลงลึกมากกว่านี้ เราก็คงจะรู้สึกอิ่มเอมและประทับใจกับการผจญภัยของ Indiana Jones อย่างเต็มเปี่ยมมากกว่าเดิม

 

 

รวมๆ แล้ว Indiana Jones and the Dial of Destiny ผู้เขียนค่อนข้างสนุกสนานไปกับการผจญภัยครั้งสุดท้ายของ Indiana Jones มากทีเดียว โดยเฉพาะกับสิ่งละอันพันละน้อยที่ผู้กำกับใส่เข้ามาให้เราได้หวนคิดถึงความประทับใจที่เราเคยได้รับใน Indiana Jones ภาคเก่าๆ ซึ่งแม้ว่ามันจะดูเรียบง่ายไปบ้าง แต่เราก็ยังสนุกกับมันได้อย่างไม่ติดขัด 

 

ขณะเดียวกัน ด้วยความที่ภาพยนตร์ไม่ได้หยิบนำเรื่องราวของ Indiana Jones ที่ถูกปูไว้ได้อย่างน่าสนใจมาขยายความให้เราได้เข้าไปสำรวจเรื่องราวของตัวละครมากนัก จึงทำให้ Indiana Jones and the Dial of Destiny เป็นเพียงเครื่องเล่นวัยเด็กที่ชวนให้เราย้อนเวลากลับไปสัมผัสกับความสนุกสนานในวันวาน แต่เมื่อลงจากเครื่องเล่นแล้วก็ไม่ได้ทำให้เราอยาก ‘กลับไป’ นั่งเครื่องเล่นนี้อีกครั้ง 

 

Indiana Jones and the Dial of Destiny เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์ 

 

รับชมตัวอย่าง Indiana Jones and the Dial of Destiny

 

 

ภาพ: Disney

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising