×

สมพงษ์เปิดแผลรัฐบาล ‘ความล้มเหลว 5 ประการ’ ประเดิมศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

24.02.2020
  • LOADING...

วันนี้ (24 กุมภาพันธ์) สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร รับหน้าที่เป็นผู้เริ่มอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นคนแรก โดยเริ่มจากการพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า

 

“รัฐบาลชุดดังกล่าวปฏิบัติงานโดยไม่มีความชอบธรรมตามกฎของรัฐธรรมนูญ มองผู้เห็นต่างเป็นศัตรู ปิดปากผู้ที่มีความเห็นต่างและก่นด่าเมื่อถูกซักถาม เมื่อได้อำนาจมาในทางมิชอบ ได้สร้างกลไกแบบใหม่เพื่อมุ่งการสืบทอดอำนาจของตนเอง ปล่อยให้มีการทุจริตเกิดขึ้นมากมาย ใช้อำนาจในหน้าที่เพื่อเอื้อโอกาสให้แก่ตนเอง บริวาร และพวกพ้อง โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและความสุขของประชาชนโดยรวม

 

“อีกทั้งยังขาดความรู้ในการบริหารแผ่นดินอย่างขาดความรู้ความสามารถ ผิดพลาด บกพร่องอย่างร้ายแรง แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการประจำและองค์กรในกระบวนการยุติธรรม หรือเรียกได้ว่าเป็นยุคยุติธรรมหมดสภาพ ใช้หลักกฎหมายโดยเลือกปฏิบัติ ไม่เป็นไปตามหลักของความเสมอภาค ไม่เคารพและปฏิบัติตามหลักรัฐธรรมนูญ และไม่ทำตามนโยบายที่พรรคการเมืองของตนหาเสียงไว้

 

“การบริหารบ้านเมืองของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างกว้างขวาง เศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป จะส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง จนประเทศถึงแก่ความล่มจมได้”

 

นอกจากนี้ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ยังได้พูดถึงความล้มเหลวทั้ง 5 ประการของรัฐบาล ประกอบไปด้วย

 

ประการที่ 1: ความล้มเหลวต่อการสร้างความเชื่อมั่นทางการเมืองในระบอบการเมืองประชาธิปไตย ซึ่งกลไกทางรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลชุดนี้สร้างขึ้นมา ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของนานาประเทศที่มีต่อการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย โดยส่งผลอย่างรุนแรงต่อความมั่นใจในการลงทุน รวมถึงการเจรจาประโยชน์การค้าต่างๆ ที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประเทศเป็นอย่างมาก

 

ประการที่ 2: ความล้มเหลวในการปฏิบัติตามกฎรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีการทำให้หลักการแหล่งความยุติธรรมแปลงร่างเป็นหลักหมู่และพวกพ้อง อย่างไม่รู้สึกถึงความอับอาย

 

ประการที่ 3: ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ณ วันนี้รัฐบาลมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้มีประสบการณ์ในทางการทหาร มานำทีมเพื่อต่อสู้กับสงครามเศรษฐกิจ ที่ต้องอาศัยองค์ความรู้และประสบการณ์ที่แตกต่างจากการเป็นทหารอย่างสิ้นเชิง เท่ากับว่าตอนนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญเศรษฐกิจระดับประเทศที่เป็นวิกฤต ให้อยู่ในมือของผู้ที่ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจแลย อีกทั้งยังเป็นการทำให้ประเทศที่เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ต้องกลายเป็นประเทศผู้ตาม ล้มลุก คลุกคลาน และล้าหลัง

 

ประการที่ 4: ความล้มเหลวในการปราบปรามทุจริต เพราะปัญหาดังกล่าวเป็นสิ่งที่หมักหมมเป็นเวลาหลายปี จากรัฐบาลที่ปราศจากการตรวจสอบ และทันทีที่ที่การปราบปรามทุจริตถูกยกให้เป็นวาระแห่งชาติ เป็นเพียงการสร้างภาพ และเครื่องมือของรัฐบาลในการจัดการฝ่ายตรงข้าม แต่ในขณะที่หากเป็นคนฝ่ายรัฐบาลถูกกล่าวหาเรื่อทุจริต กลับมีการปกป้องพวกพ้องอย่างเห็นได้ชัด ละเลยที่จะดำเนินการ ขณะที่ผู้ถูกร้องเรียนต้องเสี่ยงต่อการดำเนินคดี และถูกปรับทัศนคติเสียเอง ส่วนองค์กรต่างๆ ได้มุ่งช่วยเหลือปกปิด ล่าช้า และสุดท้ายก็หายเงียบไป

 

ประการที่ 5: ความล้มเหลวในการเป็นภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี เพราะภาวะความเป็นผู้นำมีผลต่อผลลบและผลบวกของชาติ ซึ่ง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจเป็นผู้นำกองทัพที่ดี แต่สำหรับการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ พล.อ. ประยุทธ์ ถือว่าสอบตก เนื่องจาก พล.อ. ประยุทธ์ อาจคุ้นชินกับการทำหน้าที่เป็นผู้สั่งการให้ทุกคนเป็นผู้ปฏิบัติ ไม่ต้องการให้มีความเห็นต่าง จึงอาจจะไม่เข้าใจว่าการบริหารประเทศนั้นจะต้องมีการฟังความเห็นส่วนรวมจากผู้คนทุกภาคส่วน เพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ และเกิดการช่วยเหลือกันทำ แต่ด้วยความเคยชินจากการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จ หลายครั้งจึงได้เห็นพฤติกรรมของนายกฯ ในการทุบโต๊ะ โยนของใส่ผู้สื่อข่าว มองผู้เห็นต่างเป็นศัตรู โดยเฉพาะการใช้คำพูดสะท้อนวุฒิภาวะทางปัญญาของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา  

 

ดังนั้น ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จึงไม่อาจไว้ใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารและทำให้ลูกหลานคนไทยในอนาคตต้องรับมอบประเทศที่เป็นซากปรักหักพังต่อจากคนรุ่นนี้ ไม่อาจจะไว้วางใจและไม่อาจให้ พล.อ. ประยุทธ์ บริหารประเทศได้ต่อไป

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising