×

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ นำทัพ AIS ประกาศ THE NEXT EVOLUTION ที่มีเป้าหมาย Sustainable Thailand สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนของไทย [ADVERTORIAL]

โดย THE STANDARD TEAM
06.11.2023
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • AIS พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนของประเทศไทย ผ่านการวิวัฒน์ครั้งสำคัญของโลกดิจิทัลและอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย THE NEXT EVOLUTION ที่จะก้าวสู่การพลิกโฉมประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าในทุกมิติ
  • THE NEXT EVOLUTION เป็นการยกระดับขีดความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะและ AI สู่การส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลสุดล้ำให้กับคนไทยและองค์กรธุรกิจในทุกภาคส่วน สอดรับการเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co ภายใต้แนวคิด Sustainable Nation ที่มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทยบน Ecosystem Economy ทั้งผู้คน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในโลกดิจิทัล
  • ทั้งหมดจะเกิดขึ้นภายใน 3 แกนคือ Intelligence Infrastructure สู่โครงข่ายเน็ตเวิร์กและนวัตกรรม, Cross Industry Collaboration อีกก้าวสำคัญของการร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม และ Sustainable เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม

ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาช่วยเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งสิ่งที่สามารถสะท้อนได้คือการเติบโตของ GDP

 

เทียบให้เห็นภาพโดยย้อนกลับไปเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ช่วง 30 ปีแรกประเทศไทยเริ่มมีการเติบโตที่ค่อยเป็นค่อยไป ทว่าตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งเป็นปีที่ AIS ได้รับสัญญาการให้บริการร่วมสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่จากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย หลังจากนั้นได้ลงทุน 1G และพัฒนามาเป็น 5G 

 

“วันนี้ AIS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 34 สิ่งที่พวกเราชาว AIS ทุกคนภูมิใจเป็นอย่างยิ่งว่า นอกจากได้ทำธุรกิจเพื่อบริษัทแล้ว ยังได้วางรากฐาน Digital Infrastructure ให้กับประเทศไทยด้วย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ GDP ของประเทศไทยโตแบบก้าวกระโดด” สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าว

 

 

สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือคำพูดของแม่ทัพ AIS ที่ย้ำว่า “ประเทศเล็กๆ อย่างเราไม่มีโอกาสแข่งขันกับประเทศใหญ่ๆ ได้เลยถ้าไม่ใช่ยุคดิจิทัล ซึ่งดิจิทัลเป็นการสร้างโอกาสหากเราใช้เป็นและถูกทิศถูกทาง เช่นเดียวกันกับผู้ประกอบการรายเล็กๆ ที่สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ด้วยการใช้เทคโนโลยี”

 

อย่างไรก็ตามแม้ประเทศไทยจะมี Digital Infrastructure ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ทว่าวันนี้สถานการณ์โลกอยู่ท่ามกลางความท้าทายที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากสงครามที่เกิดจากภูมิรัฐศาสตร์, การปิดกั้นทางการค้าระหว่างประเทศ, ปัญหาพลังงาน, ภาวะเงินเฟ้อ และปัญหาสภาพแวดล้อม เป็นต้น

 

เหล่านี้เป็นความท้าทายในการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ ดังนั้น AIS จึงพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนของประเทศไทย ผ่านการวิวัฒน์ครั้งสำคัญของโลกดิจิทัลและอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย THE NEXT EVOLUTION ที่จะก้าวสู่การพลิกโฉมประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าในทุกมิติ ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว สมชัยได้เสนอโมเดลที่ระบุว่า หากจะทำให้ประเทศเติบโตอย่างยั่งยืนต้องทำ 3 เรื่องผ่าน Ecosystem Economy หรือเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน อันได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอัจฉริยะ การเชื่อมต่อธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม และการดำเนินงานอย่างยั่งยืน

 

“วันนี้ผมย้ำว่า AIS ไม่ได้เปลี่ยนจุดยืนเลย เรายังยึดมั่นอยู่กับพาย 3 ชิ้นนี้ ซึ่งเป็นหัวใจของ Ecosystem Economy พูดง่ายๆ คือ เราต้องอยู่ให้ได้ในทุกอณูของสังคม โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทย หรือ Sustainable Nation”

 

 

มาดูกันว่าพาย 3 ชิ้นนี้ ซึ่งเป็นหัวใจของ Ecosystem Economy จะถูกขับเคลื่อนไปในทิศทางไหนบ้าง?

 

ไม่หยุดที่จะพัฒนาสัญญาณให้ดีขึ้นกว่าเดิม

 

มาร์ค ชอง ชิน ก๊อก รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS เป็นผู้บริหารที่ขึ้นมาพูดต่อจากแม่ทัพ AIS โดยบอกว่า AIS จะลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลให้กับประเทศไทยต่อไปเรื่อยๆ

 

“องค์กรอิสระบอกว่า AIS มีสัญญาณ 5G และ 4G โทรศัพท์ที่ดีที่สุด แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น AIS ก็คิดตลอดว่าจะทำให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร”

 

 

รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS ใช้เวทีนี้ในการประกาศการจับมือระหว่าง AIS และ National Telecom หรือ NT บนคลื่น 700 MHz โดย AIS มีแผนที่จะขยายขีดความสามารถของเครือข่ายให้รองรับผู้ใช้งาน และมั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ซึ่งตั้งเป้าจะขยายให้เครือข่ายครอบคลุมเพิ่มขึ้นถึง 30% โดยเฉพาะเขตนอกเมืองและต่างจังหวัด

 

Living Network ที่จะเปิดตัวในเดือนธันวาคมของปีนี้เป็นต้นไป จะทำให้ประสบการณ์การใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตกับ AIS ดีขึ้น ไม่ว่าคุณจะต้องส่งไฟล์งานขนาดใหญ่ให้กับลูกค้า เป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ที่ต้องการอัปโหลดวิดีโอเพื่อจะเข้าถึงผู้ติดตามใหม่ๆ

 

“ในช่วงโควิดที่ผ่านมา ที่ทุกคนต้องทำงานจากที่บ้านของตัวเอง ปัจจัยหลักที่ช่วยให้งานของทุกคน ซึ่งรวมกันเป็นผลผลิตและเศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าต่อไปได้ คือเครือข่ายที่มีความเสถียรและมีประสิทธิภาพ”

 

 

รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS ย้ำว่า AIS คิดอยู่เสมอว่าสัญญาณที่ลูกค้าได้รับนั้นเร็วพอหรือยัง นั่นทำให้ AIS มีความตั้งใจที่จะเปิดตัว WiFi 7 ซึ่งเป็นตัวที่เร็วที่สุด โดยเร็วกว่า WiFi 6 ถึง 4.8 เท่า และนอกเหนือจากความเร็ว WiFi 7 ยังให้สัญญาณที่เสถียรมากขึ้นจาก WiFi 6 อีกด้วย

 

“เรากำลังอยู่ในระหว่างการเข้าซื้อ 3BB ซึ่งเราเชื่อว่าหากดีลสำเร็จ เราจะมีเครือข่ายไฟเบอร์ใหญ่ที่สุด ที่เข้าถึงครัวเรือนไทยได้กว่า 13 ล้านครัวเรือน”

 

ลูกค้าระดับองค์กรก็เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของ AIS โดยมีการสนับสนุนจากการไปเป็นส่วนหนึ่งกับ Bridge Alliance ตั้งแต่ปี 2004 ซึ่งครอบคลุม 34 ประเทศ และเข้าถึงผู้ใช้งาน 1 พันล้านคน ส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง และด้วย Bridge Alliance เราได้สร้างแพลตฟอร์ม IoT ที่ผู้ผลิตรถยนต์เช่น Toyota เลือกใช้

 

เพื่อที่จะให้สามารถตอบสนองและสร้างเครือข่ายที่ตอบโจทย์ลูกค้าระดับองค์กรได้ เราจำเป็นต้องมี Data Center ซึ่ง AIS มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน โดย AIS มีเป้าหมายที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเพื่อสนับสนุนให้บริการรูปแบบใหม่ และ AI สามารถเกิดขึ้นได้ โดยการสร้าง Data Center ที่ใหญ่ที่สุด และใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าในจังหวัดชลบุรี ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2025

 

“แต่เราคิดว่าโครงสร้างพื้นฐานอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เราจึงมีความตั้งใจที่จะสร้างแพลตฟอร์มด้วย เรามีความยินดีที่จะประกาศว่า เราจะเปิดตัว Communications Platform-as-a-Service หรือ CPaaS ที่ตอบโจทย์ทุกการสื่อสารขององค์กรในรูปแบบของ Cloud-based โดยจะเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลอัจฉริยะที่เชื่อมต่อการสื่อสารต่างๆ ผ่านเครื่องมือที่ต่างกันให้ไร้รอยต่อมากขึ้น”

 

ตอกย้ำเชื่อมต่อพลังของพาร์ตเนอร์

 

ขณะที่ ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS ได้ขึ้นมาตอกย้ำเชื่อมต่อพลังของพาร์ตเนอร์ พร้อมกับประกาศข่าวความร่วมมือครั้งใหญ่ถึง 2 เรื่อง

 

 

เรื่องแรกคือความร่วมมือกับไมโครซอฟท์ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่พร้อมให้บริการ Microsoft Teams Phone ที่ช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการระบบสื่อสารได้อย่างสะดวก ปลอดภัย ประหยัดต้นทุน เพราะพนักงานสามารถโทรออกไปยังเบอร์ภายนอกและรับสายได้ผ่าน Microsoft Teams ที่คุ้นเคยได้ทั่วโลก รวมไปถึงการนำสุดยอดนวัตกรรม GenAI ที่จะมาช่วยยกระดับการทำงานของโลกยุคใหม่อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกับ Microsoft 365 Copilot for Enterprise 

 

เทียบให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ต่อไปผู้ใช้งานจะสามารถค้นหาข้อมูลผ่านอีเมลใน OneDrive ด้วยคำพูดที่ออกมาจากปากของเรา หรืออยากจะเปลี่ยน Microsoft Word ไปเป็น PowerPoint ก็จะได้รูปภาพพร้อมกับคำอธิบายเนื้อหา หรือ  Microsoft Excel ผู้ที่ไม่เก่งเลขอาจดูไม่ออกว่าไฮไลต์ของข้อมูลอยู่ตรงไหน แต่ต่อไปเราสามารถถามได้เลย

 

 

“AI จะไม่ใช่เป็นประโยชน์แค่อยู่ในระบบที่มีความซับซ้อน แต่จะเป็นประโยชน์กับทุกๆ วัน ทุกๆ งานที่ทำในบริษัทผ่าน Microsoft Copilot” 

 

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในส่วนของประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับองค์กรจากความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์นั้น เราได้ทำงานร่วมกับ ZTE เพื่อเตรียมเปิดตัวบริการ Cloud PC for Enterprise ให้องค์กรสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในรูปแบบ Desktop as a Service (DaaS) บนระบบคลาวด์ที่จัดสรรได้ตามความเหมาะสมบนความปลอดภัยสูงสุดในการเก็บข้อมูล โดยที่ตัวเครื่องมีขนาดไม่ได้ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือเลย

 

 

ยังมี Cross Industry Collaboration อีกก้าวสำคัญของการร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม เช่น ความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย นำแพลตฟอร์มเชื่อมโยงร้านค้าถุงเงิน ร้านธงฟ้า ร้านค้ารายย่อย โชห่วย ร้านสตรีทฟู้ด รวมกว่า 1.8 ล้านร้านค้า และจับมือห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงร้านค้าพาร์ตเนอร์ทั่วประเทศกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศ ผ่านความแข็งแกร่งของ Ecosystem อย่าง AIS Points ที่มุ่งสร้างทั้งประโยชน์ แบ่งเบาภาระ และมอบความพิเศษให้แก่ลูกค้า พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและภาพรวมให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

 

“ตอนนี้ AIS Points ไม่ได้หมายถึงคะแนนของ AIS เพียงอย่างเดียว แต่เป็นคะแนนของพันธมิตรทุกท่านที่จะเข้ามาสนับสนุนเศรษฐกิจรากหญ้า”

 

 

สร้างการวิวัฒน์เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน

 

ในช่วงท้ายสมชัยอธิบายต่อถึงความตั้งใจในการสร้างการวิวัฒน์เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนของประเทศว่า เพราะโลกในยุคปัจจุบันธุรกิจไม่สามารถใช้ตัวชี้วัดด้านผลกำไรมาบอกถึงความสำเร็จได้แต่เพียงด้านเดียว แต่องค์กรต้องมีส่วนร่วมในการดูแล เศรษฐกิจ ผู้คน สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่กันตามหลักของ SDGs

 

สำหรับด้านสิ่งแวดล้อม ได้มุ่งสร้าง Green Network ผ่านการบริหารจัดการด้วยนวัตกรรม อย่างการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในสถานีฐานเพื่อบริหารจัดการพลังงานให้เหมาะสมกับปริมาณการใช้งานของลูกค้า ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 1.3 แสนตันต่อปี 

 

หรือแม้แต่การเพิ่มสัดส่วนของการใช้พลังงานหมุนเวียนจากทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 1.6 หมื่นตันต่อปี และยังมีบริการดิจิทัลที่ทำให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเดินมาที่สาขา ก็ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 1.4 หมื่นตันต่อปี

 

“เทียบแล้วเราลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ 17 ล้านต้นขึ้นมา” สมชัยกล่าว

 

 

และในอีกด้านที่ดำเนินการควบคู่กันอย่างเข้มข้นคือ ชวนให้คนไทยมีส่วนร่วมในภารกิจนี้ ด้วยการปลูกจิตสำนึกและการตระหนักถึงความสำคัญของการแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Waste ตามเป้าหมายในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีแบบปราศจากการฝังกลบหรือ Zero e-waste to landfill โดยเราพร้อมเป็น HUB of E-Waste ที่จะเป็นแกนกลางรวมทุกภาคส่วนมาร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน

 

นอกเหนือจากการนำดิจิทัลเข้ามาสร้างการเข้าถึงอย่างเท่าเทียมแล้ว เรายังส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย ให้มีทักษะและเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพผ่านภารกิจ AIS อุ่นใจ CYBER นับตั้งแต่ปี 2562 อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบจากภัยไซเบอร์ที่เกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบในปัจจุบัน ผ่านหลักสูตรการเรียนรู้อุ่นใจไซเบอร์ 4P ที่มีผู้เรียนแล้วกว่า 300,000 ราย

 

ท้ายนี้ “คำว่า THE NEXT EVOLUTION ของ AIS คือ Sustainable Thailand หรือการทำให้ประเทศไทยของเราเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”

 

 

#AISTheNextEvolution

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising