Snowpiercer ซีรีส์เรื่องใหม่จาก Netflix ที่แฟนหนังรอคอยได้ฤกษ์ลงจอตอนแรกแล้ว และเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่เราจะกลับไปขึ้นรถไฟขบวนพิเศษที่ออกเดินทางวนไปรอบโลกอย่างไม่รู้จักหยุดนี้กันอีกครั้ง
THE STANDARD POP ได้รับโอกาสสัมภาษณ์พิเศษสองนักแสดงหลักของเรื่อง ทั้ง เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี นักแสดงหญิงคุณภาพเจ้าของรางวัลออสการ์ปี 2002 จากเรื่อง A Beautiful Mind ในบท เมลานี คาวิล ผู้โดยสารชั้นหนึ่งและเจ้าหน้าที่ประกาศเสียงตามสายที่กุมความลับบางอย่างของรถไฟขบวนนี้เอาไว้ และ ดาวีด ดิกก์ส นักแสดงละครเวทีเจ้าของรางวัล Tony Awards จากละครเวทีอันโด่งดังเรื่อง Hamilton กับการแสดงนำในซีรีส์ครั้งแรก ในบท อันเดร เลย์ตัน อดีตนักสืบคดีฆาตกรรรมที่อาศัยอยู่ท้ายขบวน พร้อมพูดคุยกับโปรดิวเซอร์ของซีรีส์อย่าง แกรม แมนสัน ที่เคยฝากผลงานไว้จาก Orphan Black
ทั้งหมดจะมาเล่าถึงการทำงาน ทั้งการถ่ายทำซีรีส์ที่หลายคนรอคอย และความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อซีรีส์เรื่องนี้ดูจะเข้ากับสถานการณ์ล็อกดาวน์ในปัจจุบันเสียเหลือเกิน โดยไม่ลืมที่จะพูดถึงผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ที่เพิ่งกวาดรางวัลในระดับปรากฏการณ์ไปทั่วโลกจาก Parasite ซึ่งเขาก็มารับตำแหน่ง Executive Producer ให้กับซีรีส์นี้ด้วย
ดาวีดและเจนนิเฟอร์ในฉากหนึ่งระหว่างการถ่ายทำ
เวอร์ชันภาพยนตร์ได้ออกมาเมื่อปี 2013 ซึ่งใช้เวลานานพอสมควร กว่าจะมาเป็นเวอร์ชันซีรีส์ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
แกรม: ผมไม่แน่ใจว่ามันใช้เวลาเท่าไรกว่าทุกอย่างจะลงตัว เพราะผมเข้ามาตอนที่โปรเจกต์นี้ได้เริ่มไป 1 ปี และมีการถ่ายทำเทปไพล็อตไปแล้ว เราได้มาปักหลักที่แวนคูเวอร์เมื่อ 2 ปีก่อน และถ่ายไปจนจบถึงซีซันที่ 2 สำหรับผมไม่เท่าไร แต่สำหรับนักแสดงที่อยู่กับเรื่องนี้มานานกว่า 3 ปี พวกเขารอคอยวันที่ซีรีส์จะได้ออกสู่สายตาผู้ชมทั่วโลกเสียที ดังนั้นวันที่ 25 พฤษภาคม เลยเป็นวันสำคัญของพวกเขา
ส่วนไหนของเรื่องนี้ที่ดึงความสนใจของพวกคุณมากที่สุด
ดาวีด: ผมชอบที่มันชำแหละโครงสร้างสังคมให้เราเห็น มันดูง่ายเมื่อทำออกมาในรูปแบบของรถไฟที่เคลื่อนขบวนเป็นแนวตรง อาจจะดูขวานผ่าซากก็จริง แต่นั่นคือสิ่งที่ผมชอบ มันทำให้เราคิดทบทวนสิ่งต่างๆ อีกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องชนชั้นและระบบการเมือง ส่วนเรื่องโปรดักชันก็สุดยอด ผมปลื้มฝ่ายฉากมาก มันสนุกมากที่ได้ทำงานในที่ที่สมจริงขนาดนั้น มันทำให้ผมทำงานง่ายขึ้น
เจนนิเฟอร์: ฉันว่ามันเข้ากับสถานการณ์ที่สังคมและพวกเรากำลังเผชิญ เช่น หัวข้อเรื่องการกักตัวและความสูญเสียที่เกิดขึ้น คนที่อยู่บนรถไฟขบวนนี้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และชีวิตที่พวกเขาเคยใช้มาก่อนหน้านี้ สถานที่โปรดที่พวกเขาเคยไป ซึ่งตอนนี้เรากำลังประสบอยู่เช่นกัน
แกรม: ของผมจะเป็นหลายเรื่องผสมกัน ผมชอบความหมายของรถไฟที่แล่นไปรอบโลกโดยเครื่องจักรไม่มีวันหยุด ผมเป็นแฟนของเวอร์ชันภาพยนตร์อยู่แล้ว ซึ่งทำออกมาได้บ้าคลั่งและสอดแทรกเรื่องการเมืองไปด้วยเยอะมาก และยังมีช่องว่างบางอย่างให้ผู้ชมอย่างเราตีความในแบบของตัวเอง
รู้สึกอย่างไรที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังอย่าง บงจุนโฮ
แกรม: เขามาเยี่ยมที่กองถ่ายอยู่หลายครั้งตอนถ่ายซีซันแรก ผมดีใจมากที่ได้พบกับเขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงมาคลุกคลีกับกระบวนการทำงานในแต่ละวัน แต่เขาก็อวยพรให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เราสองคนได้พูดคุยกันว่า ทำอย่างไรถึงจะทำให้ Snowpiercer เป็นซีรีส์ที่ดี เขาดูตื่นเต้นเหมือนกันตอนที่มาดูฉากถ่ายของเรา ซึ่งเราสร้างมันแบบฉากต่อฉาก เขาดีใจเช่นกันที่เรายังเก็บเรื่องประเด็นทางสังคมที่เขาเชี่ยวชาญเอาไว้ และเราก็พยายามที่จะถ่ายทอดมันในรูปแบบของซีรีส์เช่นกัน
เจนนิเฟอร์: ฉันคิดว่าเวอร์ชันหนังเขาทำออกมาได้ดีมากๆ นักแสดงทั้งหมดก็เล่นดีทั้งนั้น ทั้งคริสและทิลดาสุดยอดมากๆ ซึ่ง Parasite ก็เป็นหนังชั้นยอดที่ฉันชอบมากๆ เช่นกัน เขาเป็นผู้กำกับที่เก่งมาก แต่เสียดายจริงๆ ที่ฉันไม่ได้พบเขาที่กองถ่ายเลย
ภาพเบื้องหลังแกรมและเจนนิเฟอร์นอกฉาก
สำหรับเจนนิเฟอร์ ผลงานทางโทรทัศน์เรื่องล่าสุดของคุณคือเรื่อง The $treet ซึ่งออกอากาศเมื่อ 20 ปีที่แล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้กลับมาทำงานทางจอโทรทัศน์อีกครั้ง
เจนนิเฟอร์: ฉันคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจที่จะกลับมาสู่รายการทีวี การเสพภาพยนตร์หรือซีรีส์ของพวกเราเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ซึ่งฉันก็อยากลองกลับมาเล่นอยู่สักพักแล้ว และมีความสุขมากที่ได้กลับมา ฉันรักการออกกอง การถ่ายทำ การใช้เวลาร่วมกับมันที่นานพอสมควร ซึ่งปกติในภาพยนตร์คุณจะได้บทมาแล้วทำความเข้าใจกับมันจากบทนั้น แต่การถ่ายทำซีรีส์ เราได้บทระหว่างถ่าย กระบวนการมันเลยต่างและน่าสนใจ และยังได้รวมงานกับทั้งแกรมและดาวีดอีก
ส่วนสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ฉันคิดว่ามันมีศักยภาพที่จะเป็นซีรีส์ที่สนุก ให้ความบันเทิง ตื่นเต้น และตัวละครก็น่าค้นหา ขณะเดียวกันก็มีเรื่องที่ลึกกว่านั้นให้เราได้พูดคุย เช่น ตัวละครของฉันที่เธอแบกความรับผิดชอบบางอย่าง ซึ่งมันน่าติดตาม
สำหรับดาวีด คุณเป็นที่รู้จักจากการแสดงละครเวทีเรื่อง Hamilton การลองมาเล่นซีรีส์มีความยากง่าย แตกต่าง หรือมีความเหมือนอย่างไรกับตอนที่แสดงบนเวที
ดาวีด: ถ้าเรื่องเนื้องานอาจจะมีความคล้ายกัน แต่ความต่างที่ชัดเจนอยู่ที่บนเวทีคุณจะได้เล่าเรื่องทั้งเรื่องเหมือนเดิมในทุกๆ คืนที่แสดง และต้องทำให้เหมือนมันเป็นครั้งแรกในทุกครั้ง ความพิเศษของการอยู่หน้ากล้องคือ การนึกภาพว่าเรื่องกำลังดำเนินไปพร้อมๆ กับเรา มันท้าทายนักแสดงละครเวทีอย่างผมที่ต้องรักษาความต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ผมอาจจะรู้สึกสบายกว่าเมื่ออยู่บนเวที เพราะสามารถเริ่มใหม่ได้วันพรุ่งนี้ แต่บางทีผมอยากจะทดลองสิ่งใหม่ๆ หน้ากล้อง ซึ่งผมเรียนรู้ว่าบางครั้งอาจจะไม่เวิร์ก เพราะบางเทกที่คุณคิดว่าแสดงออกมาดี อาจจะมีจุดผิดพลาด อย่างเช่น เรื่องไมค์ ซึ่งมันจำกัดผมอยู่เหมือนกัน ผมเลยต้องทำงานให้หนักขึ้น เล่นแบบไม่ต้องกลัว ปล่อยให้มันเป็นไป และหวังว่าจะออกมาดี
ตัวละครหลักทั้งเมลานีและเลย์ตัน คือสองตัวละครที่ดำเนินเรื่อง พวกคุณสองคนมีวิธีการทำงานเป็นทีมอย่างไร
เจนนิเฟอร์: ดาวีดยอดเยี่ยมมาก เขาเป็นคนที่น่าร่วมงานด้วยมากๆ เป็นนักแสดงที่เปิดรับ และเป็นคนที่จิตใจดีและน่าอยู่ด้วย ส่วนตัวละครที่ถูกวางไว้ให้เป็นขั้วตรงข้ามกันในตอนเปิดเรื่อง และระหว่างที่เรื่องดำเนินไปก็ค่อยๆ รู้ว่าตัวละครทั้งสองมีความเหมือนกันอยู่ไม่น้อย ซึ่งพัฒนาการของทั้งสองเป็นอะไรที่สนุกมากสำหรับฉัน ฉันดีใจที่ได้ทำงานร่วมกับเขา เขาทั้งฉลาด ตีบทแตก ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีมากที่ได้ร่วมงาน
ดาวีด: มันสนุกมากครับ ไม่ใช่แค่เจนนิเฟอร์หรือนักแสดง แต่ทีมงานด้วย เราใช้เวลาร่วมกันเยอะมาก เราเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว บรรยากาศการทำงานเลยสบาย แกรมและโปรดิวเซอร์หลายๆ คนก็เปิดกว้าง เราสามารถมาปรึกษากันเรื่องการแสดงว่าฉากนี้จะทำออกมาอย่างไร ทีมแสง ทีมฉาก ก็ให้ความร่วมมือดี เรื่องมันค่อนข้างเครียด เราเลยมาเล่าเรื่องตลกและทานอาหารด้วยกัน
ส่วนหนึ่งของฉากที่สร้างขึ้นมา จำลองห้องภายในรถไฟ Snowpiercer
ซีรีส์นี้ปล่อยออกมาช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเนื้อหาของเรื่องมีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ล็อกดาวน์ และสะท้อนปัญหาความไม่เท่าเทียมในปัจจุบัน พวกคุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้
ดาวีด: ผมไม่รู้ว่ามันต่างหรือเหมือน เพราะผมได้อ่านบทนี้ครั้งแรกเมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งผมคิดว่ามันค่อนข้างเชื่อมโยงกับอะไรหลายอย่าง ซึ่งอาจจะมาคล้ายกับช่วงนี้ เรามองเรื่องชนชั้นต่างกันไป และมันยังมาตอกย้ำเรื่องที่เราต้องติดอยู่ในบ้านเหมือนทุกวันนี้ และมันจะมีมาเรื่อยๆ ตลอดทั้งเรื่อง เช่น เรื่องที่ผู้โดยสารในขบวนโหยหาอดีตที่ผ่านมา พวกเขาล้วนคิดถึงโลกข้างนอก ซึ่งมันเข้ากับสถานการณ์ตอนนี้มาก
เจนนิเฟอร์: แน่นอนค่ะ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ซีรีส์นี้ต้องการจะสื่อ มันพูดถึงเรื่องบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรา แต่ถูกเล่าผ่านมุมมองของซีรีส์ไซไฟ ซึ่งนั่นก็คือเรื่องความอยุติธรรมในสังคมทุนนิยมปัจจุบัน เราจะทำให้รถไฟเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร เราจะสร้างความยุติธรรมได้อย่างไร และเราจะตั้งคำถามต่อความไม่ยุติธรรมจากเรื่องนี้ได้อย่างไร และพวกเราก็ตื่นเต้นมากที่จะได้เล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ทุกคนได้ฟัง
แผนที่การเดินทางของรถไฟ Snowpiercer
ถ้าในโลกคู่ขนานพวกคุณได้เป็น มิสเตอร์วิลฟอร์ด (คนสร้างขบวนรถไฟนี้) คุณจะนำขบวนรถไฟนี้อย่างไร
เจนนิเฟอร์: ยากเหมือนกันนะ ฉันว่าฉันคงยังตอบไม่ได้ แต่ถ้าอิงจากตัวละครที่ฉันเล่นนะ สิ่งที่น่าสนใจในเมลานีคือ เธอตัดสินใจบางอย่างที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันทำให้ตอนต้นซีซันน่าสนใจ เป็นสิ่งที่น่าประทับใจ เธอทำเพราะมีเหตุผลบางอย่าง เธอต้องออกมายอมรับจุดอ่อนของเธอ และมีพัฒนาการไปตลอดทั้งเรื่อง แต่สำหรับฉัน ฉันยังไม่คิดที่จะลงสมัครเป็นนักการเมือง ฉันเลยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
ดาวีด: เป็นคำถามที่ดีครับ ไม่รู้สิ ผมไม่อยากเป็นมิสเตอร์วิลฟอร์ดเลย ไม่ใช่ทางของผม เป็นคำถามที่ตอบยากเหมือนกันนะ ซึ่งน่าจะเป็นคำถามสำคัญของเรื่องนี้เลยว่า เราจะสร้างสังคมที่เท่าเทียมได้อย่างไร แต่ละตัวละครในเรื่องนี้ก็มีทางที่จะนำขบวนของตัวเอง เมลานีก็คิดว่าเธอกำลังทำหน้าที่นี้อยู่เช่นกัน เราก็ต้องมาดูว่าเลย์ตันจะไปสู่จุดนั้นได้อย่างไร
แกรม: ผมไม่ได้อยู่ในเรื่อง แต่ถ้าผมอยู่ ผมคงเป็นคนท้ายขบวน เพราะเราเขียนให้นักแสดงหลายคนเป็นคนท้ายขบวนที่อาศัยอยู่ในตู้มืดๆ เป็นเวลาหลายปี ผมคิดว่าผมคงไปร่วมต่อสู้กับพวกเขา และผมคิดว่าผมคงไม่สามารถเป็นมิสเตอร์วิลฟอร์ดได้แน่ๆ
สามารถติดตามชมซีรีส์ Snowpiercer ได้แล้วบน Netflix ซึ่งจะทยอยปล่อยออกมา เริ่มวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ และรับชมตัวอย่างได้ที่
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล