หากเปิดโซเชียลมีเดียยามเช้า คุณอาจเห็นคนแชร์ข้อมูลการนอนจากอุปกรณ์ติดตามการนอนไม่ต่างจากรูปโยคะหรือสมูทตี้มื้อเช้า ท่ามกลางวิกฤตการนอนหลับที่ในสหราชอาณาจักรมีผู้ใหญ่ถึง 74% รายงานว่านอนไม่ดี
ด้วยเหตุนี้การนอนหลับ 8 ชั่วโมงจึงกลายเป็นความหรูหราที่หลายคนปรารถนา ส่งผลให้เกิด ‘Sleep Tourism’ หรือการท่องเที่ยวเพื่อการนอนหลับที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
Sleep Tourism คือการท่องเที่ยวที่มีเป้าหมายหลักเพื่อการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ ซึ่งไม่ใช่แค่ผ้าปูที่นอนเกรดพรีเมียมหรือเมนูหมอนให้เลือก แต่เป็นประสบการณ์ที่ออกแบบเพื่อปรับปรุงคุณภาพการนอนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนแบบมีโปรแกรมเรียนรู้วิธีนอนที่ดี การเข้าพักที่มีการดูแลทางการแพทย์ หรือสปาที่ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
รายงานปี 2024 โดย HTF Market Intelligence พบว่าธุรกิจนี้ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 6.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตอีก 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐระหว่างปี 2024-2028
Charlie Morley ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับและความฝันอธิบายว่า “ผู้คนให้ความสำคัญกับอาหารและการออกกำลังกายมานาน แต่ประเด็นสำคัญต่อไปคือการนอนหลับ” โดยโรงแรมต่างๆ ได้ตระหนักว่าผู้คนกำลังใช้การเดินทางเหล่านี้ ซึ่งห่างไกลจากงานหรือลูกๆ เป็นโอกาสในการให้ความสำคัญกับการนอนหลับที่ดีอย่างแท้จริง
ในวงการนี้มีวิธีการหลากหลาย เช่นสปาเพื่อสุขภาพ SHA Wellness Clinic ในอันดาลูเซีย สเปน ที่ Dr.Vicente Mera ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การนอนหลับประจำคลินิกได้สร้างแพ็กเกจ ‘Sleep Well’ สำหรับผู้เข้าพักที่มีปัญหานอนไม่หลับ นอนหลับๆ ตื่นๆ หรือตื่นนอนแล้วไม่สดชื่น โดยประเมินปัญหาอย่างละเอียดและสร้างแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
ขณะที่หลายแห่งใช้วิธีการแบบองค์รวม เช่น Soneva ในมัลดีฟส์เสนอโปรแกรม Soneva Soul Sleep 7-14 วัน ที่ครอบคลุมการปรับสมดุลระบบประสาทผ่านการฝึกสติและสมาธิ การเคลื่อนไหวร่างกายทุกวันผ่านโยคะและชั้นเรียนออกกำลังกาย และกิจวัตรก่อนนอนที่ออกแบบเฉพาะบุคคล เช่น การอาบน้ำด้วยสมุนไพร
นอกจากนี้ ผู้เข้าพักยังได้รับการแนะนำให้รับแสงแดดในตอนเช้าเพื่อปรับนาฬิกาชีวิตในร่างกาย และลองเดินเท้าเปล่าเพื่อช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและสัมผัสกับธรรมชาติโดยตรง
ในทำนองเดียวกัน โรงแรมหลายแห่งกำลังอาศัยภูมิปัญญาโบราณเพื่อเสริมสร้างการนอนหลับ ที่ Lefay Resort & Spa ในทะเลสาบการ์ดา อิตาลี โปรแกรมการนอนหลับห้าคืนมีการรักษาด้วยการแพทย์แผนจีนโบราณที่มุ่งเน้นการกระตุ้นจุดฝังเข็มเฉพาะ ในขณะที่ Santani Wellness Kandy ในศรีลังกาเสนอการรักษาการนอนหลับตามแบบอายุรเวทเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมห้าคืน
แม้จะมีความสัมพันธ์ระหว่างการพึ่งพาเทคโนโลยีกับผลกระทบต่อความสามารถในการนอนหลับของเรา แต่การพัฒนาในด้านนี้ก็กำลังขับเคลื่อนนวัตกรรมที่น่าสนใจในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ความร่วมมือล่าสุดของ Charlie Morley กับ Kimpton Fitzroy ได้ออกแบบแพ็กเกจ ‘Room To Dream’
ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้าพักควบคุมความฝันของตัวเองได้ด้วยเทคโนโลยี AI โดยใช้อุปกรณ์ VR และชาสมุนไพรพิเศษ หลังตื่นนอน ผู้เข้าพักสามารถเล่าความฝันของตนให้ระบบ AI วาดเป็นภาพศิลปะได้ Morley มองว่าในอนาคตอันใกล้จะมีเตียงอัจฉริยะที่วัดคุณภาพการนอนได้ ทำให้โรงแรมสามารถพิสูจน์คำกล่าวอ้างเรื่องการนอนหลับที่ดีด้วยข้อมูลจริง
ในยุคที่การนอนหลับกลายเป็นสินค้าหายากและมีค่า การท่องเที่ยวเพื่อการนอนหลับไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่เป็นอุตสาหกรรมที่จะเติบโตต่อไปพร้อมกับความต้องการของผู้คนที่แสวงหาการพักผ่อนอย่างแท้จริงในโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
ภาพ: goffkein.pro / Shutterstock
อ้างอิง: