หลังจากเมื่อวานนี้ (24 มิถุนายน) สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือยูฟ่า ประกาศยกเลิกกฎการยิงประตูทีมเยือน หรือ ‘Away Goal’ โดยให้มีผลตั้งแต่ฤดูกาลใหม่ 2021-22 เป็นต้นไป ทั้งที่มีการเริ่มใช้มาเป็นเวลากว่า 50 ปี นับตั้งแต่ปี 1965
จากกรณีดังกล่าวได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์บนโซเชียลที่แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ทั้งกลุ่มที่มองว่ากฎดังกล่าวนั้นเริ่มล้าสมัย และอีกกลุ่มมองว่านี่จะเป็นการทำลายความสนุก-ตื่นเต้นของเกมการแข่งขันฟุตบอลในปัจจุบัน
THE STANDARD ขออาสาพาผู้อ่านนั่งไทม์แมชชีน ย้อนรำลึกแมตช์การแข่งขันที่กฎการยิงประตูทีมเยือน หรือ Away Goal มีส่วนกับผลการแข่งขันอย่างน่าจดจำชนิดที่แฟนบอลไม่มีวันลืม
ยูเวนตุส vs. เอฟซี ปอร์โต้ (2021) – ผลประตูรวม 4-4
นัดแรก: ปอร์โต้ 2-1 ยูเวนตุส
นัดสอง: ยูเวนตุส 3-2 ปอร์โต้
เริ่มกันที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลล่าสุด (2020-21) เป็นการพบกันระหว่าง เอฟซี ปอร์โต้ กับ ‘ม้าลาย’ ยูเวนตุส รอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยในนัดแรกเป็นเอฟซี ปอร์โต้ที่เก็บชัยชนะไปก่อนด้วยสกอร์ 2-1
นั่นจึงทำให้เกมในนัดสอง ฝั่งของยูเวนตุสที่ได้กลับมาเล่นในอลิอันซ์ สเตเดียม ถิ่นคุ้นเคย โดยพยายามเร่งเครื่องทวงประตูคืนหลังเสียงนกหวีดเริ่มเกมดังตั้งแต่วินาทีแรกของการแข่งขัน
ทว่าเป็นปอร์โต้บุกมาทำประตูขึ้นนำก่อน 1-0 จาก เซร์คิโอ โอลิเวียรา ทำให้บรรยากาศของทีมเยือนดำเนินไปอย่างยอดเยี่ยม
ก่อนที่พลพรรคเบียงโคเนรีจะฮึดสู้สุดใจ พร้อมทวง 2 ประตูสำคัญจาก เฟเดริโก คิเอซา และจบการแข่งขัน 90 นาที ยูเวนตุสชนะ 2-1 ผลรวม 2 นัด เสมอกัน 3-3 ส่วนผล Away Goal ก็มาเท่ากัน ทำให้เกมต้องต่อเวลาอีก 30 นาทีในช่วงเอ็กซ์ตร้าไทม์
และดราม่าก็ปรากฏในนาทีที่ 115 ของเกม เมื่อโอลิเวียราคนเดิมทำแสบ ซัดฟรีคิกทำลอดกำแพงผู้เล่นยูเวนตุส พาปอร์โต้ตีเสมอเป็น 2-2 นั่นเท่ากับว่าใน 5 นาทีที่เหลือ (ไม่รวมทดเวลาบาดเจ็บ) ยูเว่ต้องทำ 2 ประตูเพื่อพลิกกลับมาเข้ารอบ
จากนั้นทัพม้าลายโหมบุกหนักและทำได้เพิ่ม 1 ประตูจาก อาเดรียง ราบิโอต์ นาทีที่ 117 แต่นั่นก็ไม่เพียงพอ เพราะหลังเสียงนกหวีดดังก้องทั่วสนาม แม้พวกเขาชนะในเลกที่สองไป 3-2 (รวม 2 นัดเสมอ 4-4) แต่ก็ยังคงเป็นผลแข่งที่ทำให้เบียงโคเนรีเป็นฝ่ายตกรอบจากผลของกฎประตูทีมเยือนในท้ายที่สุด
โรมา vs. บาร์เซโลนา (2018) – ผลประตูรวม 4-4
นัดแรก: บาร์เซโลนา 4-1 โรมา
นัดสอง: โรมา 3-0 บาร์เซโลนา
ถ้าว่ากันด้วยความแสบสันของ Away Goal ที่มีต่อผลการแข่งขันที่น่าจดจำที่สุดอีกคู่ สิ่งที่เกิดขึ้นในแมตช์ระหว่าง โรมา พบ บาร์เซโลนา ในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกปี 2018 ถ้าไม่หยิบยกมาพูดถึง คอลัมน์ที่ว่าด้วยกฎประตูทีมเยือนชิ้นนี้อาจจะไม่สมบูรณ์อย่างแน่นอน
เรื่องมีอยู่ว่า บาร์เซโลนา ณ ช่วงเวลานั้นอุดมไปด้วยผู้เล่นฝีเท้าฉมังตั้งแต่ ลิโอเนล เมสซี, หลุยส์ ซัวเรซ ไปจนถึงห้องเครื่องเบอร์เก๋า อันเดรส อิเนียสตา, อิวาน ราคิติช, เซร์คิโอ บุสเกตส์ และคนอื่นๆ เมื่อเห็นแค่ไลน์อัพก็อดที่จะปฏิเสธไม่ได้ว่า พวกเขามีภาษีดีพอที่จะเอาชนะโรมาเพื่อผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
และผลการแข่งนัดแรกก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ บาร์ซาแสดงความสามารถและแท็กติกที่เหนือกว่าทั้งเกมเอาชนะไป 4-1
แต่ทว่าโรมากลับสร้างปาฏิหาริย์สำเร็จ เมื่อพวกเขากลับมาเล่นยังสนามสตาดิโอ โอลิมปิโก ต่อหน้าแฟนบอลของพวกเขานับหมื่นชีวิต ได้งัดทุกแท็กติกและลงเล่นอย่างสุดความสามารถท่ามกลางเสียงเชียร์ที่ปลุกเร้าตลอดเวลา
ประตูของ เอดิน เชโก ตั้งแต่ต้นเกมปลุกให้โรมาที่มีความหวังริบหรี่ได้ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว และลดช่องว่างของประตูให้น้อยลงจากจุดโทษในครึ่งหลังของ ดานิเอเล เด รอสซี ในต้นครึ่งหลัง
ด้วยบรรยากาศที่ร้อนระอุที่สตาดิโอ โอลิมปิโก ‘คอสตาส มาโนลาส’ กองหลังตัวเก่งได้โหม่งพังประตูสุดสำคัญในช่วงที่เหลือเวลาอีกเพียงแปดนาทีก่อนจบเกม ความพยายามของโรมาบรรลุผลสำเร็จเอาชนะบาร์ซาในนัดสองไป 3-0 (รวมผล 2 นัด เสมอ 4-4) แต่เป็นอีกครั้งที่กฎ Away Goal พาพวกเขาหักอกยอดทีมจากแคว้นกาตาลุญญาอย่างเจ็บแสบพร้อมผ่านสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ
เชลซี vs. บาร์เซโลนา (2009) – ผลประตูรวม 1-1
นัดแรก: บาร์เซโลนา 0-0 เชลซี
นัดสอง: เชลซี 1-1 บาร์เซโลนา
แมตช์นี้เป็นหนึ่งความเดือดบนหน้าประวัติศาสตร์ของแชมเปียนส์ลีก และยังคงเป็นประเด็นให้ได้ถกเถียงกันในโลกฟุตบอลมาอย่างยาวนาน ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึง Away Goal
ว่ากันว่าเหตุการณ์นี้ไม่มีใครจำได้ดีเท่าแฟนเชลซี เพราะหลังจบการแข่งขันทั้งสองนัด ทีมรักของพวกเขาเป็นฝ่ายตกรอบรองชนะเลิศด้วยฝีมือของบาร์เซโลนา
ในนัดแรกเชลซีบุกไปเยือนบาร์เซโลนาถึงถิ่นคัมป์นู และผลออกมาคือเสมอกัน 0-0
นัดสองเล่นกันที่สแตมป์ฟอร์ดบริดจ์ รังเหย้าของเชลซี และเป็นสิงห์บลูส์ที่ออกสตาร์ทได้ดีกว่าจากการออกนำเร็วจากลูกฮาล์ฟวอลเลย์สุดสวยของ ไมเคิล เอสเซียง
หลังจากนั้นดราม่าในสนามเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ จากผู้ตัดสินในเกมนั้นอย่าง ทอม เฮนนิง โอเฟรโบ เริ่มตั้งแต่การปฏิเสธจุดโทษนาทีที่ 24 จากการทำฟาวล์ของ ดานิ อัลเวส แบ็กขวาของบาร์ซา และอีกหลายจังหวะที่ผู้เล่นของเชลซีอย่าง ดิดิเยร์ ดร็อกบา, นิโกลาส์ อเนลกา ถูกทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ รวมถึงช็อตฟ้องเอาแฮนด์บอลช่วงท้ายเกมก็ยังไร้วี่แววเสียงนกหวีดจากกรรมการ ท่ามกลางความตึงเครียดของเกมที่ฝั่งเจ้าบ้านพยายามเร่งปิดเกม
แต่แล้วนาทีที่ 90+3 อันเดรส อิเนียสตา ได้ซัดไกลจากแถวสองส่งบอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมพาบาร์ซาตีเสมอ 1-1 และเมื่อผลจบลงด้วยสกอร์ดังกล่าว เป็นฝั่งบาร์เซโลนาผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศด้วยกฎประตูทีมเยือน
หลังจบเกมผู้เล่นหลายคนของเกมเชลซีออกอาการไม่พอใจในผลการตัดสินของกรรมการ ถึงขนาดที่ดร็อกบาหลุดคำสบถออกทีวีที่กำลังออกอากาศอยู่ขณะนั้น
อาแจ็กซ์ vs. ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ (2019) – ผลประตูรวม 3-3
นัดแรก: ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 0-1 อาแจ็กซ์
นัดสอง: อาแจ็กซ์ 2-3 ท็อตแนม ฮอตสเปอร์
ค่ำคืนที่อาแจ็กซ์ไม่อยากจำ กับความทรงจำที่สเปอร์สไม่อาจลืม
คือคำนิยามของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสนามโยฮัน ครัฟฟ์ วันที่ 9 พฤษภาคม 2019
ทีมพลังหนุ่ม อุดมไปด้วยดาวโรจน์ ณ ช่วงเวลานั้นอย่างอาแจ็กซ์ สร้างเซอร์ไพรส์มาอย่างต่อเนื่องในฟุตบอลถ้วยยุโรปจนทะยานมาสู่ด่านสุดท้ายก่อนถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งโคจรมาเจอกับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ในมือของกุนซือ เมาริซิโอ โปเชตติโน
นัดเลกแรกอาแจ็กซ์ยังคงเล่นด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยมถึงขั้นบุกไปเก็บ Away Goal ด้วยการชนะสเปอร์ส 1-0
โดยในนัดสอง แม้อาแจ็กซ์จะได้กลับไปเล่นในสนามที่ถนัดที่สุด บวกกับการทำ 2 ประตูในช่วงครึ่งแรกจาก มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ และ ฮาคิม ซิเยค ใครที่ได้ชมแมตช์การแข่งขันนั้น และยิ่งเป็นแฟนสเปอร์สอาจมีถอดใจได้
ทว่าเรื่อง ‘ถอดใจ’ ใช้ไม่ได้กับขุนพลไก่เดือยทอง เมื่อโปเชตติโนแก้เกมอย่างหนักในครึ่งหลังและมันได้ผล เมื่อทีมมาได้ 2 ประตูติดต่อกันในนาทีที่ 55 และ 59 จาก ลูคัส มูรา
และเป็นมูราอีกครั้งที่กลายเป็นแฮตทริกฮีโร่ ทำประตูที่ 3 ในนาทีที่ 90+6 ให้สเปอร์สเอาชนะในนัดสอง 2-3 (รวมผล 2 นัด เสมอ 3-3) แต่เป็นสเปอร์สที่ได้เฮ หลังเอาชนะด้วยกฎประตูทีมเยือนผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
ปารีส แซงต์ แชร์กแมง vs. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (2019) – ผลประตูรวม 3-3
นัดแรก: แมนฯ ยูไนเต็ด 0-2 ปารีส แซงต์ แชร์กแมง
นัดสอง: ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 1-3 แมนฯ ยูไนเต็ด
อีกหนึ่งเหตุการณ์โกงความตาย โดยรอบนี้เกิดขึ้นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในการแข่งขันยูฟ่าแชมปเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อปี 2019
ซึ่งคู่แข่งของพลพรรคปีศาจแดงตอนนั้นคือ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง หรือเปแอสเช ทีมดังแห่งเมืองน้ำหอมที่เพียบพร้อมไปด้วยผู้เล่นระดับสตาร์แถวหน้าของวงการ
ในนัดแรกเป็นเปแอสเชบุกไปตุน Away Goal พร้อมรักษาคลีนชีตถึงสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดด้วยการบุกไปชนะ 2-0 และเป็นการบ้านโจทย์ยากให้ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ต้องกลับไปทำการอย่างหนักในการพาทีมกลับลู่ทางที่ควรจะเป็นในนัดที่สอง
และแน่นอนว่าเกมในนัดที่สอง โซลชาร์ทำการบ้านมาดีมาก โดยลูกทีมทำผลงานเยี่ยมพาแมนฯ ยูไนเต็ด ออกนำเปแอสเชในครึ่งแรก 2-1 จาก โรเมลู ลูกากู ที่เหมา 2 ลูกดังกล่าว จากสถานการณ์แบบเรียลไทม์ ณ ขณะนั้น แมนฯ ยูไนเต็ดขออีกเพียง 1 ประตูก็จะเข้ารอบทันที
และทุกอย่างเป็นไปตามคีย์เวิร์ดสุดฮิตจากบทเพลงของ BNK48 ที่ระบุไว้ว่า “คำว่าพยายาม ไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ” เมื่อแมนฯ ยูไนเต็ดที่พยายามอย่างหนักมาได้ลูกจุดโทษจากการทำแฮนด์บอลของ เพรสแนล คิมเพมเบ และเป็น มาร์คัส แรชฟอร์ด อาสาซอยเท้าเข้าไปยิงไม่พลาดพาทีมนำ 3-1 และผลการแข่งขันจบด้วยสกอร์ข้างต้น
ปีศาจแดงโกงความตายทะลุสู่รอบ 8 ทีม ด้วยผลรวมสองนัดเสมอ 3-3 แต่เข้ารอบด้วยกฎ Away Goal
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs. โมนาโก (2017) – ผลประตูรวม 6-6
นัดแรก: แมนฯ ซิตี้ 5-3 โมนาโก
นัดสอง: โมนาโก 3-1 แมนฯ ซิตี้
แมตช์นี้เป็นเกมที่มีการทำประตูไว้มากถึง 12 ประตู ในการดวลกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ โมนาโก ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2017
เกมในนัดแรกเดินไปอย่างตื่นเต้น เพราะทั้งสองทีมต่างเปิดหน้าแลกกันอย่างสนุก และเป็นแมนฯ ซิตี้ที่คว้าชัยในนัดแรกหลังจากเอาชนะไป 5-3 ในเอติฮัด สเตเดียม สนามเก่งของพวกเขาเอง
แต่ 3 ประตูของโมนาโกที่ทำได้ในนัดแรก กลับเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากๆ
เมื่อต้องกลับมาเล่นในนัดสอง โมนาโกที่ต้องเล่นต่อหน้าแฟนบอลของพวกเขาเอง บวกกับองค์ประกอบอย่างผู้เล่นที่ลงตัวเป็นอย่างมากจากดาวรุ่งแห่งยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็น คีเลียน เอ็มบัปเป้, แบร์นาโด ซิลวา, ติมูเอ บากาโยโก ไปจนถึงกองหน้าตัวเก๋าอย่าง ราดาเมล ฟัลเกา ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นฝ่ายสร้างเซอร์ไพรส์ใส่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ด้วยการเอาชนะไป 3-1
ผลรวมสองนัดเสมอกันไปถึง 6-6 แต่เป็นโมนาโกที่เข้ารอบ 8 ทีมด้วยกฎประตูทีมเยือนไปอย่างระทึก
ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย