“ทำหนังทั้งทีต้องมาทำกระสือเหรอวะ พี่เขาคิดยังไงถึงชวนกู กะว่าเดี๋ยวสตาร์ทรถกลับแน่นอน”
โดม-สิทธิศิริ มงคลศิริ เล่าว่าในวันแรกที่ถูกชวนมาทำหนังพล็อต ‘กระสือ’ นั้นคือความรู้สึก ‘ไม่อิน’ ชนิดว่าอยากจะขับรถกลับบ้านแทบไม่ทัน แต่ก็เป็นเพราะภาพลักษณ์ที่ถ้าอธิบายคำให้เข้ากับยุคสมัยเสียหน่อยก็ต้องเรียกว่า ‘ตลาดล่าง’ ของมอนสเตอร์พื้นบ้านที่มีแต่หัวกับไส้นี่เองที่ทำให้เขาพ่ายแพ้ เปลี่ยนใจให้กับคำพูดของ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ผู้กำกับรุ่นพี่ที่บอกว่า “ทำไมเราไม่ทำกระสือให้มันเป็นหนังดีๆ กระสือที่มันไม่ต้องกินขี้ คุณรังเกียจมัน แล้วคุณก็จะอยู่กับความรังเกียจนี้ แล้วคุณก็ไม่ลุกขึ้นมาทำให้มันเวิร์ก”
สุดท้ายตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เขาเปลี่ยนจากความคิดรังเกียจเดียดฉันท์เมื่อครั้งแรก ให้กลายเป็นความทะเยอทะยาน สุดท้ายมันออกมาเป็นผลงาน ‘แสงกระสือ’ หนึ่งในภาพยนตร์ไทยที่เราคิดว่าน่าจับตามากที่สุดเรื่องหนึ่งในเวลานี้
“แวบแรกที่ได้ยินผมอยากกลับบ้านเลย ผมรู้สึกว่าจะได้ทำหนังทั้งทีต้องมาทำกระสือเหรอวะ พี่เขาคิดยังไงถึงชวนกู กะว่าเดี๋ยวสตาร์ทรถกลับแน่นอน แต่พี่วิศิษฏ์แกบอกว่า เฮ้ย ทำไมเราไม่ทำกระสือให้มันเป็นหนังดีๆ วะ กระสือที่มันไม่ต้องกินขี้ โอเค คุณรังเกียจมัน คุณก็จะอยู่กับความรังเกียจนี้ แล้วคุณก็ไม่ลุกขึ้นมาทำให้มันเวิร์ก”
ก่อนจะกลายมาเป็น แสงกระสือ คุณสนใจอะไรในเรื่องราวของกระสือ ถึงหยิบมันขึ้นมาเล่าอีกครั้ง
ที่มาของ แสงกระสือ เริ่มต้นมาจากพี่วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง (ผู้กำกับภาพยนตร์ ฟ้าทะลายโจร, หมานคร, เปนชู้กับผี, รุ่นพี่ ฯลฯ) ครับ ย้อนไปเมื่อ 3 ปีก่อน พี่วิศิษฏ์เรียกผมเข้าไปคุยกับค่าย Transformation ซึ่งตอนนั้นเขามีตำแหน่งเป็น Content Creator อยู่ด้วย พอเจอกันแกก็บอกว่าไปเห็นหนังโฆษณาที่ทำเป็นหนังสั้น 10 นาทีของเครื่องสำอาง Cute Press ที่ผมกำกับ มีน้องเก้าเล่นเป็นแวมไพร์ Cute Press ‘Midnight Sun’ แกก็เลยเรียกมาแล้วอยากทำหนังกระสือ
แวบแรกที่ได้ยินผมอยากกลับบ้านเลย (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่าจะได้ทำหนังทั้งทีต้องมาทำกระสือเหรอวะ พี่เขาคิดยังไงถึงชวนกู กะว่าเดี๋ยวสตาร์ทรถกลับแน่นอน แต่พี่วิศิษฏ์แกบอกว่า เฮ้ย ทำไมเราไม่ทำกระสือให้มันเป็นหนังดีๆ วะ กระสือที่มันไม่ต้องกินขี้ โอเค คุณรังเกียจมัน คุณก็จะอยู่กับความรังเกียจนี้ แล้วคุณก็ไม่ลุกขึ้นมาทำให้มันเวิร์ก ยกตัวอย่างหนังแวมไพร์ฝรั่ง มันมีตั้งแต่ Let the Right One In มาจนถึงแวมไพร์แบบ Twilight แวมไพร์มันถูกทำออกมาเป็นหนังทุกประเภทเลยครับ
แม้กระทั่งหนังซอมบี้มีคนทำออกมาเต็มเลย เรื่องไหนดีหรือเลวว่ากันไป แล้วบ้านเราเอง เรามีคาแรกเตอร์ที่เป็นของไทยแท้ๆ แต่คนกลับ look down เหมือนที่คุณเองก็ look down มันว่าหนังอะไรวะ กระสือแม่งทุเรศ
พอฟังพี่วิศิษฏ์พูดแบบนั้นแล้วก็เหมือนโดนตบหน้า เออว่ะ แล้วทำไมเราไม่ทำให้มันดีวะ มันก็เป็นตัวละครหนึ่งนี่หว่า เป็นมอนสเตอร์เราก็ทำให้มันดีสิ ผมก็เลยตัดสินใจว่างั้นขอเดือนหนึ่งนะพี่นะ ขอผมคิดว่าถ้าจะทำอะไรเกี่ยวกับกระสือ ผมจะทำด้วยวิธีไหน
หมายความว่าตอนถูกเอ่ยชวนทำกระสือ ทุกอย่างเริ่มต้นจากศูนย์ ไม่มีไอเดีย ไม่มีพล็อตใดๆ
ไม่มีเลย แต่ผมว่ามันเกิดจากความตั้งใจของแกครับ ย้อนกลับไปเหมือนวันหนึ่งที่เรามีหนัง นางนาก (2542) ที่พี่อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร กำกับ แล้วมันก็ส่งผ่านมาถึง พี่โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล ที่ทำใหม่ออกมาเป็น พี่มาก.. พระโขนง (2556) ผมรู้สึกว่าขนาด นางนาก ยังถูกทำใหม่จนออกมาดี แล้วกระสือล่ะ ทำไมเราไม่ทำมันใหม่วะ ไม่ตีความมันวะ ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มต้นคิดเลยดีกว่าถ้าจะทำกระสือต้องเล่าเรื่องแบบไหน
กระสือมันมีแต่คนแก่หรือไง เป็นวัยรุ่นได้ไหม วัยรุ่นแบบซีรีส์ Hormones วัยว้าวุ่น แล้วแม่งเป็นกระสือ กำลังสวยเลย ปากกำลังชมพู แต่ตื่นขึ้นมาเป็นกระสือ พอเปิดเรื่องขึ้นมาตัวเอกมันมีเมนส์วันแรก ที่เตียงมันเลอะเลือดอยู่ก้อนหนึ่ง และนั่นแหละมันคือวันที่สตาร์ทความเป็นกระสือ
คุณคิดว่าวิศิษฏ์มองเห็นอะไรถึงได้เลือกชวนคุณมาทำหนังกระสือ
ผมว่าเพราะผมเป็นคนไม่จริงมั้ง ผมสามารถเล่าเรื่องที่ไม่จริงแต่เล่าบนพื้นฐานความจริง คือผมเป็นคนเซอร์เรียลประมาณหนึ่ง แต่ความเซอร์เรียลของผมไม่ใช่ว่าจะต้องเซตใหญ่โต ในงานของผม ผมไม่ชอบความจริงสักเท่าไร เพราะผมรู้สึกว่าหนังที่เป็นความจริงมันมีคนทำดีอยู่แล้ว แล้วผมก็ชอบมันด้วยนะ แต่พอให้เราทำเราพบว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนจริงขนาดนั้น ผมชอบโลกความฝัน ชอบความแฟนตาซี
ยกตัวอย่างผมเติบโตมากับหนังอย่าง มนต์รักทรานซิสเตอร์ ซึ่งสำหรับผมมันเป็นหนังไม่จริงนะ ซึ่งผมชอบหนังที่มันไม่ใช่ความจริงในระดับนี้ ผมชอบสิ่งเหล่านี้เป็นทุนเดิม แล้วพอทำงาน แนวทางของผมก็จะเป็นทางนี้ ผมว่าพี่วิศิษฏ์เขาคงเห็นมั้งครับว่าถ้าจะเล่าเรื่องแฟนตาซี ทำความรักระหว่างคนกับปีศาจ มันอาจจะต้องใช้คนแบบผมที่ชอบสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว
หลังจากนั้นคุณจัดการหรือตีความกับโจทย์ที่มีจุดเริ่มต้นจากสิ่งที่เราไม่ได้อินและไม่ได้ชอบยังไง
ผมคิดง่ายๆ เลยครับว่าเราจะไม่หมกมุ่นกับมันมากว่าตำนานเป็นมายังไง ผมแค่หยิบสิ่งที่เป็นพื้นฐานสุดเลยว่า กระสือติดต่อกันทางน้ำลาย แล้วก็มีลักษณะคนถอดหัวได้ นั่นเท่ากับมันเป็นมอนสเตอร์ แล้วโดยส่วนตัวผมก็ชอบตัวละครผู้หญิง สนใจอยู่ว่า เอ…กระสือมันมีแต่คนแก่หรือไง เป็นวัยรุ่นได้ไหม วัยรุ่นแบบซีรีส์ Hormones วัยว้าวุ่น แล้วแม่งเป็นกระสือ กำลังสวยเลย ปากกำลังชมพู แต่ตื่นขึ้นมาเป็นกระสือ พอเปิดเรื่องขึ้นมาตัวเอกมันมีเมนส์วันแรก ที่เตียงมันเลอะเลือดอยู่ก้อนหนึ่ง และนั่นแหละมันคือวันที่สตาร์ทความเป็นกระสือ
ผมรู้สึกว่างานของมะเดี่ยวแสดงออกถึงความเป็นวัยรุ่น และเป็นวัยรุ่นที่ไม่แบน เป็นวัยรุ่นที่มีชีวิต เป็นวัยรุ่นที่มีความทุกข์ มีพลังของเพศ มีฮอร์โมน มีความหยาบ ในขณะเดียวกันก็มีความละเอียดอ่อน
ถ้าตามตำนานคือกระสือเนี่ยไม่รู้ว่าคืออะไร ผมว่าเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาเกี่ยวกับกระสือจะต่างกับ ‘แม่นาค’ หรือแม้กระทั่งตำนานความเชื่อความศรัทธาเกี่ยวกับ ‘พญานาค’ ตรงที่กระสือมันเป็นคลาสที่อยู่ต่ำสุด แล้วเรื่องราวของมันก็ไม่ได้ดูเป็นจริงมาก แค่เล่าต่อกันว่าส่งผ่านกันทางน้ำลาย หรืออย่างมากก็เล่าว่าเจอมันลอยมาเป็นดวงไฟ แต่ถามถึงสตอรีจริงๆ คือไม่ค่อยมีเลย สำหรับผีตนนี้นะครับ
ผมก็อาศัยตรงนี้แหละ มันไม่มีเรื่องใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นเราจะลองเล่าตำนานเหล่านี้ของมันใหม่ ที่ถ้าเป็นวัยรุ่นแล้วเธอมีเมนส์วันแรก นั่นคือการมาพร้อมกับการเป็นกระสือ ตอนแรกมันเริ่มต้นง่ายๆ จากตัวละครแค่นี้เลยครับ
ผมบอกมะเดี่ยวว่า ‘เรามาทำกระสือที่หอมๆ กันมะ’ ไม่ใช่กระสือที่กินขี้ มีแต่ไส้ กระสือที่สวยงาม กระสือที่มีเรื่องมีราว เป็นกระสือที่สะอาด
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือคุณเลือกให้ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล (มือเขียนบทและผู้กำกับภาพยนตร์ รักแห่งสยาม, 13 เกมสยอง ฯลฯ) มารับหน้าที่คนเขียนบทของ แสงกระสือ ทำไมต้องเป็นมะเดี่ยว
ผมว่าเรื่องของบทภาพยนตร์เป็นเรื่องของสกิลและการ Concentrate บางอย่าง คือผมเขียนเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบออกมา 7 แผ่น แต่พอจะทำบทขนาดยาวทั้งเรื่องแล้วมันไม่เดินหน้า ผมก็เลยไปคุยกับมะเดี่ยว เพราะผมชอบงานของมะเดี่ยว และผมเคารพงานของเขา
สิ่งที่มะเดี่ยวทำในเรื่องก่อนๆ ผมรู้สึกว่างานของเขาแสดงออกถึงความเป็นวัยรุ่น และเป็นวัยรุ่นที่ไม่แบน เป็นวัยรุ่นที่มีชีวิต เป็นวัยรุ่นที่มีความทุกข์ มีพลังของเพศ มีฮอร์โมน มีความหยาบ ในขณะเดียวกันก็มีความละเอียดอ่อน ผมก็เลยคุยกับเขา แล้วตอนที่นั่งคุยกันครั้งแรก เขาก็รู้สึกเหมือนผมเลยครับว่า อะไรนะ กระสือเหรอ (หัวเราะ) ซึ่งแปลกมากที่เราคุยกับใครทุกคนรู้สึกแบบนี้หมด แปลกมากจนผมรู้สึกว่า เออว่ะ ถ้าเราทำสำเร็จก็ดีนะ มันดีตรงที่เราจะได้เปลี่ยนไอ้คาแรกเตอร์เดิมๆ ของกระสือซะ
ผมก็เลยบอกมะเดี่ยวว่า “เรามาทำกระสือที่หอมๆ กันไหม” ไม่ใช่กระสือที่กินขี้ มีแต่ไส้ กระสือที่สวยงาม กระสือที่มีเรื่องมีราว เป็นกระสือที่สะอาด มะเขาก็ปิ๊งเลย กระสือที่ไม่กินขี้ เขาก็เลยเอาด้วย แล้วพอลงมือเขียนบทก็ออกมาดีเลยครับ
ผมว่ามะเดี่ยวเขาละเอียดอ่อนเรื่องมนุษย์มาก อย่างกับหนังเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องกระสือก็จริงครับ แต่สุดท้ายแล้วมันเป็ทริลเลอร์-ดราม่าเหมือนกัน มันเป็นเรื่องของเด็กวัยรุ่น เด็กผู้หญิง เด็กผู้ชาย
อีกอย่างเวลาเราพูดถึงวัยรุ่น มันมีเรื่องของความฝัน มีความหวัง มีความรัก มีชีวิตอยู่ในนั้น แต่กระสือมันเข้ามาขัดชีวิตที่กำลังจะปกติสุข ขณะเดียวกันมันก็มีความขัดแย้งกับตัวเองในหมู่เพื่อนและคนรัก จนขยายปมไปสู่ระดับสังคม คนในหมู่บ้าน คนในครอบครัว มะเดี่ยวเข้ามาเติมเต็มตรงส่วนนี้ได้อย่างดี
ผมมีความคิดในใจมาตลอดว่ากระสือเป็นเรื่องของความน่าเกลียด มันคือคนที่กำลังจะ Beauty แต่กลายเป็น Ugly แล้วผมก็ตั้งคำถามไปว่า แต่จริงๆ แล้วไอ้คนที่มันอัปลักษณ์ แต่หัวใจของเขามันมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มึงเป็นปีศาจก็จริง แต่ข้างในมึงยังเป็นนุษย์อยู่ มันยังมีความหวัง ความรัก
ชอบคำว่า ‘กระสือหอม’ เดาว่าน่าจะเกี่ยวกับการตีความให้ตำนานกระสือร่วมสมัยขึ้น
อันดับแรกเลยคือเราจะเห็นเรื่องราววัยรุ่นที่เป็นกระสือ พอตัวละครมันเป็นวัยรุ่น เหมือนบทภาพยนตร์จะเกิดขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ต้องไปแตะเรื่องของตำนาน คือเราไม่ย้อนกลับแล้ว เรามุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียวเลยว่า ถ้าวัยรุ่นมันเป็นกระสือแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นในแง่บทภาพยนตร์ก็เปลี่ยน ตัวละครเปลี่ยน ในแง่ของดีไซน์ก็เปลี่ยน
ยกตัวอย่างในเรื่องของไส้ จริงๆ แล้วภาพของกระสือที่ทุกคนเห็นและจดจำเป็นงานของอาจารย์ทวี วิษณุกร (ศิลปินนักวาดการ์ตูนไทย) ที่ท่านได้เขียนขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วกระสือของคนไทยคือแสงสีแดงเท่านั้น หน้าตามันคล้ายกับผู้หญิงนะเว้ย แต่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครดีไซน์ไว้ว่าต้องเป็นหัวกับไส้
ผมก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้น เราก็น่าจะมีสิทธิตีความหรือดีไซน์มันใหม่ เพียงแต่ยังคงคาแรกเตอร์การถอดหัวเอาไว้เพราะว่าชอบ โอ้โห ไอ้การที่คนถอดหัวได้นี่แม่งเท่ว่ะ (ยิ้ม) แต่ดีไซน์อย่างอื่น สุดท้ายแล้วเราเลือกที่จะให้มันเหลือแค่หัวใจกับเส้นสายที่เราระบุไม่ได้ว่าคืออะไร มันอาจจะเป็นเส้นเลือด หรือเส้นประสาทอะไรพวกนี้หรือเปล่า ด้วยเพราะมันคือหนังรักด้วยครับ เราก็เลยเลือกดีไซน์ให้มันคือหัวใจ แสงของหัวใจที่มันวูบวาบ ส่วนที่เกินจำเป็นเราตัดออกไป แล้วเลือกจะดีไซน์ให้มันร่วมสมัยขึ้น
สิ่งที่ได้เห็นแน่ๆ ในหนังเรื่องนี้คือ เรานิยามกระสือใหม่ โดยการที่เราโฟกัสให้เรื่องราวของกระสือมันเกิดขึ้นกับตัวละครที่เป็นวัยรุ่น อันนี้คือเป็นความรู้สึกใหม่ที่ได้เห็นแน่ๆ เรื่องราวที่เป็นความรัก อีพิกการต่อสู้ที่มันต้องใช้ความโรแมนติก
เท่าที่อ่านจากพลอต เรารู้สึกว่าเรื่องราวของแสงกระสือเล่าถึงสองสิ่งที่ขัดแย้งกัน คือความสกปรกน่าขยะแขยงภายนอก กับความงามที่อยู่ภายใน
คือผมมีความคิดในใจมาตลอดว่ากระสือเป็นเรื่องของความน่าเกลียด มันคือคนที่กำลังจะ Beauty แต่มันกลายเป็น Ugly แล้วผมก็ตั้งคำถามไปว่า แต่จริงๆ แล้วไอ้คนที่มันอัปลักษณ์ แต่หัวใจของเขามันมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มึงเป็นปีศาจก็จริง แต่ข้างในมึงยังเป็นนุษย์อยู่ มันยังมีความหวัง ความรัก ในขณะที่มนุษย์ธรรมดามันกลับเป็นปีศาจมากกว่า มันมีความเกลียดชัง ความไร้เหตุผลอยู่ในตัวเรานี่แหละที่เป็นผู้ล่าสัตว์ประหลาด
ขณะเดียวกันในตัวของสัตว์ประหลาด มันก็มีทั้งสัตว์ประหลาดที่ดีและสัตว์ประหลาดที่เลว ผมว่าสิ่งเหล่านี้มันก็เป็น Statement ที่อยู่ในใจผม ที่ผมอยากจะเล่า และคิดว่าจะต้องทำให้ได้ เพราะกูจะต้องอยู่กับมันไปตลอด 3 ปีนี้ (หัวเราะ)
คนไทยมีประสบการณ์ร่วมเกี่ยวกับ ‘กระสือ’ พอสมควร สรุปหน่อยได้ไหมว่าสิ่งที่เราจะได้เห็นและไม่ได้เห็นจากประสบการณ์เดิมๆ คืออะไรบ้าง
ผมว่าสิ่งที่ได้เห็นแน่ๆ ในหนังเรื่องนี้คือ เรานิยามกระสือใหม่ โดยการที่เราโฟกัสให้เรื่องราวของกระสือมันเกิดขึ้นกับตัวละครที่เป็นวัยรุ่น อันนี้คือเป็นความรู้สึกใหม่ที่ได้เห็นแน่ๆ เรื่องราวที่เป็นความรัก อีพิกการต่อสู้ที่มันต้องใช้ความโรแมนติก
ผมว่าความโรแมนติกมันมีทั้งเรื่องราวของความรัก รวมไปถึงการต่อสู้ในเชิงอุดมการณ์ด้วย ที่ฉันและเธอจะต้องผ่านไปด้วยกัน ผมว่านี่คือความใหม่ของหนังเรื่องนี้ ที่ทีมงานทั้งหมดรวมถึงตัวผมเองทะเยอทะยานที่จะทำ
ส่วนแก่นในตำนานกระสือต่างๆ เราไม่ได้ทิ้งมันนะครับ เช่น การถอดหัวออกจากร่างและกลับเข้าร่างยังคงเดิม หรือเรื่องกระสือก็ยังติดต่อกันทางน้ำลายเหมือนเดิม แต่พอตัวละครที่เป็นวัยรุ่น แทนที่มันจะคายน้ำลายลงขันน้ำอย่างที่เราเคยคุ้นๆ กัน ผมก็ให้มันจูบกัน
ผมเชิญคุณแม่น้ำเงิน บุญหนัก ที่ตอนนี้อายุ 80 แล้ว เราเชิญมาเล่นให้ แล้วท่านก็ขับรถมาเล่นหนังให้ผม ท่านอายุมากแล้ว แต่การถ่ายทำก็สนุกมาก พอเล่าให้ฟังว่าจะทำกระสือ ท่านบอกว่าอยากทำกระสือเหรอ กูต้องมีส่วนร่วม กูต้องเล่นด้วย (หัวเราะ) ซึ่งในส่วนนี้เราถือว่าเป็นการคารวะ
อย่างที่ทราบว่ากระสือถูกสร้างในอุตสาหกรรมบันเทิงมาหลายครั้ง ครั้งที่ดังที่สุดคือละครโทรทัศน์ กระสือ (2537) ที่ตัวละคร ‘ยายสาย’ โด่งดังจนกลายเป็นตำนาน ส่วน แสงกระสือ ตัวเอกในเรื่องก็ชื่อยายสายเหมือนกัน ตรงนี้ตั้งใจหรือเปล่า
ใช่ครับ ถือเป็นการคารวะให้ครับ จริงๆ แล้วกระสือยายสายถือเป็นความคลาสสิกนะ ถ้าไปดูในยุคนั้นคือน่ากลัวมาก ถึงแม้จะเป็นเทคนิคงานสร้างบ้านๆ แต่ก็มีบรรยากาศที่น่ากลัวมาก ถ้าอย่างนั้นก็คารวะเลย ตัวละครเอกเราชื่อสายแล้วกัน
จากนั้นผมก็ได้เชิญคุณแม่น้ำเงิน บุญหนัก ที่ตอนนี้อายุ 80 แล้ว เราเชิญมาเล่นให้ แล้วท่านก็ขับรถมาเล่นหนังให้ผม คือท่านอายุมากแล้ว แต่การถ่ายทำก็สนุกมาก พอเล่าให้ฟังว่าจะทำกระสือ ท่านบอกว่าอยากทำกระสือเหรอ กูต้องมีส่วนร่วม กูต้องเล่นด้วย (หัวเราะ) ขนาดไม่มีบท แกก็ไปยืนดูมอนิเตอร์ ซึ่งในส่วนนี้เราถือว่าเป็นการคารวะ
คุณว่าอะไรคือเสน่ห์ที่จะทำให้คนรุ่นใหม่อินตามไปกับเรื่องราวของกระสือได้ในยุคสมัยแบบนี้
ผมว่ามันมีเรื่องราวความรักของคนหนุ่มสาวอยู่ในนั้นมั้งครับ มันมีเรื่องราว Coming of age มีการผ่านช่วงเวลาที่ลำบาก ในมุมของผมเรื่องนี้เป็นสากล เพราะไม่ว่าในยุคสมัยไหน คนเราต้องมีการผ่านชีวิตแบบนี้ ชีวิตที่ต้องต่อสู้กับอะไรบางอย่าง แล้วมันก็เป็นหนังอีพิก
ผมว่ามันไม่มีหนังอีพิกมานานแล้วนะครับ ผมหมายถึงในสเกลที่เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ อย่างปีที่แล้ววงการภาพยนตร์มี The Shape of Water ซึ่งมันเป็นหนังที่พาฝันมากนะ แล้วมันก็พาเราเข้าไปในโลกภาพยนตร์มากๆ ผมเองก็มีความพยายามที่อยากจะทำหนังอะไรแบบนี้ เพื่ออยากให้คนดูยังอยากเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ ซึ่งมันได้ฟีลลิ่ง และถ้าถามผม ผมยังเชื่อในสิ่งนี้อยู่
แสงกระสือ กำลังเตรียมเข้าฉายวันแรก 14 มีนาคมนี้ ส่วนหนังจะประสบความสำเร็จด้านรายได้หรือเปล่าต้องรอดู แต่ถ้าจะมีสักจุดที่หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จแล้ว คุณคิดว่าสิ่งนั้นคืออะไร
สำหรับตัวผม แสงกระสือ มันเริ่มต้นด้วยความทะเยอทะยาน ผมมักจะพูดคำนี้บ่อย เพราะผมเริ่มต้นโปรเจกต์นี้ด้วยความทะเยอทะยานจริงๆ นะครับ จนพวกเราทีมงานขำๆ กันในตอนถ่ายทำ ผมคุยกับช่างภาพว่า เฮ้ย กูว่ามันชักจะทะเยอทะยานกันเกินไปแล้ว (หัวเราะ) เพราะมันเริ่มต้นจากการที่เราอยากจะนิยามกระสือใหม่ โดยใช้เทคนิคที่เราอยากจะเล่า เราสร้างโลกของมันขึ้นมาใหม่ โดยมีเป้าหมายว่าผมอยากทำของไทยให้มันร่วมสมัย
เหมือนเรามีสินทรัพย์อยู่ในบ้านเรา เรามีคาแรกเตอร์ มีเรื่องราวที่เป็นตำนาน แต่ว่าเราไม่ค่อยหยิบขึ้นมาทำกัน หรือทำกันก็อาจจะไม่พร้อมในหลายๆ อย่าง ทำให้สุดท้ายแล้วตัวคอนเทนต์เหล่านี้มันไม่ได้เพิ่มมูลค่า ในขณะที่ถ้าเป็นงานเกาหลี ที่ต่างคนต่างทำแล้วมันออกมาเวิร์ก ผมก็เลยเริ่มต้นจากความทะเยอทะยาน เพราะผมอยากทำ
สมมติในสายศิลปะ พี่เจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เขาก็ทำสำเร็จไปแล้ว หรืออย่างสายหนังบันเทิง ถ้าถามผม ผมว่าอย่าง นาคี 2 เขาก็ทำสำเร็จนะ อย่างน้อยเขาก็ได้ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่แค่การดูถูกเรื่องราวของตัวเราเองตลอดเวลา
มนต์รักทรานซิสเตอร์ ฟ้าทะลายโจร โหมโรง นางนาก ก็ได้ทำไปแล้วในอดีต นั่นคือการทำในสิ่งเดิมๆ ให้ออกมาเวิร์ก ฉะนั้นสำหรับตัวผมเอง ถ้าถามว่าหนังจะได้เงินหรือไม่ได้เงิน มันไม่มีใครบอกได้ แต่ความตั้งใจที่ผมและทีมงานจะทำในสิ่งนี้ อย่างน้อยเราได้ทำมันสำเร็จไปแล้วหลังจากที่ผมได้เห็นตัวหนังที่เสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งหมด คราวนี้ก็รอผู้ชมแล้วว่าจะชอบมันไหม หรือจะให้โอกาสมันไหม
ผมว่าถ้ามันสำเร็จมันก็ดีครับ มันดีในแง่อุตสาหกรรม คนทำงานก็จะได้ทำงานต่อเนื่อง เราจะได้หยิบเรื่องราวที่เป็นวัตถุดิบอื่นๆ ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรืออาจจะแค่เรื่องตลก เรื่องความรัก เรื่องการเมือง เรื่องภูติผี มีเต็มไปหมดเลยนะ ปอบ เปรต ฯลฯ เพราะว่าความจริงสิ่งเหล่านี้มันถูกหยิบเอามาทำใหม่ได้หมด
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
ภาพยนตร์ไทย แสงกระสือ นำแสดงโดย โอบ โอบนิธิ, มินนี่ ภัณฑิรา, เกรท สพล และเอ็ม-สุรศักดิ์ วงษ์ไทย เข้าฉายวันแรก 14 มีนาคมนี้