วานนี้ (27 สิงหาคม) ที่จังหวัดภูเก็ต ศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อ, ภคมน หนุนอนันต์ สส. บัญชีรายชื่อ พร้อมด้วย สส. จังหวัดภูเก็ต พรรคประชาชน ประกอบด้วย สมชาติ เตชถาวรเจริญ, เฉลิมพงศ์ แสงดี และ ฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล ร่วมลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือประชาชนจากเหตุการณ์ดินถล่ม ที่ตำบลกะรน อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา
เฉลิมพงศ์กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบ 3 ประเด็นที่ต้องติดตามหาความกระจ่างต่อไป เรื่องที่ 1 พื้นที่นี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งได้รับการผ่อนผันตามมติ ครม. วันที่ 23 มิถุนายน 2563 แต่ก็พบว่ามีการขยายพื้นที่ก่อสร้างไปถึงกว่า 40 ไร่ เกินกว่าที่ได้รับอนุญาตเพียง 15 ไร่
นอกจากนี้ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต สามารถก่อสร้างบนพื้นที่ความสูงได้ไม่เกิน 80 เมตร ยกเว้นเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น เสาสัญญาณ แต่กรณีพระใหญ่และอาคารประกอบกลับได้รับการยกเว้น ต้องตรวจสอบต่อไปว่าได้รับอนุญาตได้อย่างไร
เรื่องที่ 2 พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีหินแกรนิตผุพัง และสภาพดินเป็นดินทรายและดินเหนียว มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดดินถล่ม ต้องตรวจสอบว่ามีการประเมินความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ส่วนราชการหรือหน่วยงานรัฐเจ้าของโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานนั้นๆ ถือปฏิบัติให้เป็นไปตามรายงานการประเมินความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดหรือไม่
เรื่องที่ 3 เป็นเรื่องสำคัญและสามารถเกิดขึ้นได้เร็วที่สุด คือระบบเตือนภัย ซึ่งขณะนี้ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตมีเฉพาะการเตือนภัยเหตุสึนามิ ไม่มีการเตือนภัยภัยพิบัติอื่น ซึ่งเหตุการณ์ดินโคลนถล่มครั้งนี้ หากมีระบบเตือนภัย เช่น เซ็นเซอร์แจ้งเตือนขณะที่มีการเคลื่อนตัวของหินแกรนิตขนาดใหญ่ พี่น้องประชาชนจะอพยพได้ทัน แต่เหตุการณ์ดินโคลนถล่มครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 13 ราย ซึ่งส่วนใหญ่นอนหลับอยู่ในบ้านขณะเกิดเหตุ หากจังหวัดมีระบบแจ้งเตือนเชื่อว่าจะไม่มีผู้เสียชีวิต
เฉลิมพงศ์กล่าวต่อว่า จากการพูดคุยกับผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมจังหวัดภูเก็ต พบว่าหินแกรนิตในจังหวัดภูเก็ตเริ่มมีความเสื่อมโทรมจึงทำให้แตก บวกกับชั้นดินเหนียวทำให้เกิดการสไลด์เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ข้อสังเกตนี้ต้องตรวจสอบกันต่อไปผ่านการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม โดยสิ่งที่ตนจะติดตามต่อไปคือ พื้นที่ตรงนี้เริ่มต้นจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ขออนุญาตใช้พื้นที่กับกรมป่าไม้เพื่อก่อสร้างองค์พระใหญ่จำนวน 15 ไร่ และขณะนี้พื้นที่เทือกเขานาคเกิดขยายการก่อสร้างลานจอดรถและตัวอาคารเพิ่มเติมออกไป จึงต้องตรวจสอบว่ามีการอนุญาตถูกต้องหรือไม่
จากนั้นศิริกัญญาและคณะ เดินทางต่อไปยังศูนย์บัญชาการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ร่วมรับฟังและประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พูดคุยกับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ที่พักอาศัยและทรัพย์สินเสียหาย ร่างกายได้รับบาดเจ็บ
ศิริกัญญากล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนที่อาศัยบริเวณพื้นที่ลาดชันใช้ชีวิตอย่างหวาดผวา สิ่งที่ต้องการคือการแจ้งเตือนที่แม่นยำ เพราะไม่รู้ว่าเหตุจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร ซึ่งนายกเทศมนตรีตำบลกะรนกล่าวว่า เครื่องตรวจวัดการเคลื่อนตัวการตรวจจับมวลดินที่มีอยู่ในขณะนี้เป็นของกรมทรัพยากรธรณีซึ่งไม่สามารถใช้งานได้ เมื่อสอบถามถึงสาเหตุทราบว่าไม่มีงบประมาณซ่อมบำรุง จึงเห็นว่าหากไม่สามารถดูแลได้ก็ควรโอนมาให้ท้องถิ่นจัดการ
นอกจากเรื่องระบบแจ้งเตือนภัยที่ต้องผลักดันต่อเพื่อลดความเสี่ยงของประชาชน อีกเรื่องที่ต้องพิจารณาต่อไปคือการเยียวยาที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ แต่เนื่องจากค่าครองชีพของจังหวัดภูเก็ตค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น เช่น ค่าเช่าบ้านตามหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 ระเบียบกระทรวงการคลัง ให้แค่ 1,800 บาทต่อเดือน เพียง 2 เดือน ซึ่งสำรวจในภูเก็ตแล้วค่าเช่าบ้านเริ่มต้นที่ 5,000 บาท จึงจำเป็นต้องแก้ไขระเบียบให้เหมาะสมกับพื้นที่ด้วย
ด้านเฉลิมพงศ์กล่าวว่า หลังจากนี้พรรคประชาชนจะติดตามความคืบหน้าเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเด็นการป้องกันและแจ้งเตือนภัย มิให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นในพื้นที่อื่นของภูเก็ตอีก ขณะฐิติกันต์ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่าจะนำเรื่องนี้เข้า กมธ.การที่ดินฯ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน ไม่ให้เรื่องเงียบหาย