×
SCB Omnibus Fund 2024

‘สิงห์ เอสเตท’ ลั่น รายได้ปีนี้ทำนิวไฮแตะ 1.34 หมื่นล้านบาท เดินกลยุทธ์จับมือพาร์ตเนอร์เสริมแกร่ง ดันรายได้ 5 ปี โตเฉลี่ย 25%

21.03.2022
  • LOADING...
สิงห์ เอสเตท

บมจ.สิงห์ เอสเตท หรือ S มั่นใจ 4 ธุรกิจโตต่อเนื่อง ผลักดันรายได้แตะ 1.34 หมื่นล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาล ประกาศเดินกลยุทธ์กระจายการลงทุนและจับมือพันธมิตรเสริมความแข็งแกร่งในทั้งสี่กลุ่มธุรกิจหลัก หวังส่งเสริมการเติบโตระยะ 5 ปี เฉลี่ย 25% 

 

ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท หรือ S เปิดเผยแผนธุรกิจปี 2565 ว่า บริษัทวางเป้าหมายรายได้จะอยู่ที่ 13,400 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์​ โดยคิดเป็นการเติบโตจากปีที่แล้วมากกว่า 80% โดยการเติบโตมาจากธุรกิจหลัก 4 ธุรกิจ มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดังนี้ 

 

ธุรกิจที่พักอาศัยในปี 2565 ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 50% จากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดพร้อมอยู่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ The ESSE at Singha Complex และ The ESSE Asoke รวมไปถึงโครงการบ้านแนวราบ SANTIBURI THE RESIDENCES ซึ่งมีมูลค่า Backlog อยู่ที่ 2,600 ล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ 70% ในปีนี้ 

 

นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดโครงการแนวราบเพิ่มอีก 1 โครงการในทำเลพัฒนาการ ช่วงครึ่งหลังของปี มูลค่า 2,900 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้ทันในปี 2565 นี้  

 

ธุรกิจโรงแรมจะมีการเติบโตอย่างมากในปีนี้ โดยคาดการณ์รายได้ที่ 8,500 ล้านบาท โดยโรงแรมที่สร้างการเติบโตให้กลุ่มธุรกิจอย่างมากคือ โรงแรมที่สหราชอาณาจักรและมัลดีฟ ซึ่งเป็นปลายทางด้านการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ส่วนธุรกิจโรงแรมในประเทศคาดว่าจะเริ่มมีทิศทางผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในไตรมาส 3/65 หลังจากที่ภาคการท่องเที่ยวในประเทศฟื้นตัวเต็มที่ 

 

“เมื่อธุรกิจโรงแรมเติบโตตามเป้าหมาย จะทำให้ SHR  หรือ บมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ซึ่งอยู่ในเครือของสิงห์ ขึ้นแท่นเป็น Thailand Hotel Operator อันดับ 2 ของไทย โดยปัจจุบัน สิงห์ฯ ดำเนินธุรกิจโรงแรมใน 5 ประเทศ ซึ่งปีนี้ Growth Engin คือสหราชอาณาจักรและมัลดีฟ”​ ฐิติมากล่าว

 

ธุรกิจอาคารสำนักงาน ในปีนี้โครงการ S Oasis จะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน และพร้อมให้บริการ ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากตั้งอยู่บนทำเลสำคัญย่านห้าแยกลาดพร้าว มีพื้นที่อาคารทั้งสิ้น 55,700 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังมีโครงการ S Metro ซึ่งปรับปรุงภายนอกแล้วเสร็จ ทำให้เชื่อว่าจะมีผู้เช่าเพิ่มขึ้นและสามารถปรับขึ้นอัตราค่าเช่าได้อย่างสมเหตุสมผลมากขึ้น 

 

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคพื้นฐาน ปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่ทั้งหมด 2,000 ไร่ เป็นพื้นที่ขาย 50% หรือ 900-1,000 ไร่ ซึ่งคาดว่าปีนี้เริ่มขายและรับรู้รายได้ประมาณ 15% ของ 1,000 ไร่ 

 

นอกจากนี้สิงห์ยังมีการเติบโตจากธุรกิจอื่นๆ ที่เข้าลงทุนตั้งแต่ปีที่แล้ว ประกอบด้วยการเข้าลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าร่วมกับบี.กริม โดยถือหุ้น 30% ในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม 3 แห่ง ซึ่งดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว 1 แห่ง กำลังการผลิต 123 เมกะวัตต์ ซึ่งปีนี้จะรับรู้รายได้เต็มปีเป็นครั้งแรก ขณะที่โรงไฟฟ้าอีก 2 แห่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในอีก 2 ปี กำลังผลิตแห่งละประมาณ 140 เมกะวัตต์

 

ขณะที่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท หรือ SPRIME นั้นจะเป็นส่วนเสริมความแข็งแกร่งด้านฐานะทางการเงินให้กับกลุ่มสิงห์ได้เป็นอย่างดี โดยปีนี้จะมีการขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT เพิ่ม 3 แห่ง คือ พื้นที่ค้าปลีกของโครงการ Sun Towers, โครงการ Singha complex และโครงการ S Merto รวมมูลค่าราว 6,000 ล้านบาท

 

“ตอนนี้อยู่ระหว่าง ก.ล.ต. พิจารณา คาดว่าไตรมาส 3 ปีนี้จะเริ่มทำมาร์เก็ตติ้ง เปิดจอง และเสนอขาย ถ้าแล้วเสร็จจะทำให้ SPRIME เป็นกอง REIT ประเภทอาคารสำนักงานที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ของไทย จึงเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน”​ ฐิติมากล่าว 

 

สำหรับเป้าหมายระยะ 5 ปีจากนี้ สิงห์วางเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ย 25% โดยกลยุทธ์สร้างการเติบโตที่สำคัญคือ การมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจผ่าน Internal Synergy และสร้าง Strategic Partner โดยสิงห์ตั้งงบลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 2565-2569) ไว้ที่ 50,000 ล้านบาท ส่วนมากเน้นการลงทุนไปที่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย หลังจากที่ช่วงก่อนหน้านี้มีการลงทุนในธุรกิจโรงแรมค่อนข้างมาก 

 

เฉพาะปี 2565 เตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 10,000 ล้านบาท โดย 60% จะใช้สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย แบ่งเป็นซื้อที่ดิน 4,000 ล้านบาท และพัฒนาโครงการ 2,000 ล้านบาท ที่เหลือจะใช้สำหรับพัฒนาโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 1,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่ม ADR ขึ้นอีก 10-20% ลงทุนใน S Oasis 1,000 ล้านบาท และลงทุนในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 1,500 ล้านบาท 

 

ฐิติมากล่าวเพิ่มอีกว่า ความเสี่ยงหลักที่สิงห์จับตา คือ 

 

  1. ความไม่แน่นอนทางการเมืองต่างประเทศ เพราะมีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างไรก็ตาม ด้วยโลเคชันของโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวหมุนเวียนมาจากทั่วโลก จึงเชื่อว่าจะได้รับผลกระทบไม่มาก 
  2. สิงห์ยังจับตามองความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อวางแผนรับมือความเสี่ยงอย่างรัดกุม 
  3. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ซึ่งจะกระทบต้นทุนทางการเงิน ซึ่งเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 

 

“สำหรับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ สิ่งที่ต้องทำคือ การควบคุม ดูแลค่าใช้จ่าย และบริหารการจัดหารายได้ที่ลื่นไหล ต้นทุนทางการเงินเป็นต้นทุนก้อนใหญ่สำหรับอสังหาเราต้องมีแนวทางการบริหารจัดการทางการเงินที่รัดกุมและเหมาะสม มีต้นทุนที่สมเหตุสมผล รองรับการเติบโต และเป็นต้นทุนที่เหมาะสมกับการเติบโต” ฐิติมากล่าว 

 


ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

Twitter: twitter.com/standard_wealth

Instagram: instagram.com/thestandardwealth

Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising