ชนิสา แก้วเรือน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานกิจกรรมการตลาดและธุรกิจ บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด พร้อมด้วย จักรกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล Chief Business Officer – Specialty Business บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด แถลงข่าวศูนย์การค้าสยามพารากอน ร่วมกับวอทช์ แกลอเรีย ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ จัดงาน ‘Siam Paragon Watch Expo 2018’ ระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม ถึง 9 สิงหาคม 2561 นี้ เชื่อว่าจะเติบโตขึ้นอีกจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตและการจับจ่ายในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้
สำหรับตลาดสินค้าหรูหราในประเทศไทย พบว่าผู้บริโภคนิยมซื้อนาฬิกามากที่สุดถึง 21% รองลงมาคือเสื้อผ้าแบรนด์เนม 17% และสินค้าเพื่อความงาม 14% เหตุผลสำคัญที่ใช้ในการช้อปปิ้งคือการให้รางวัลกับตนเอง โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงขาลงของตลาดนาฬิกาทั่วโลก โดยเฉพาะกับประเทศไทยที่มีเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมือง ทำให้บรรยากาศไม่เอื้อต่อการจับจ่ายเท่าที่ควร แต่สำหรับปี 2561 นี้ สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจชัดเจน และช่วงไตรมาส 3 เป็นช่วงหลังจากปิดเทอมที่ครัวเรือนมีภาระสูงแล้ว ทำให้มีกำลังซื้อพอที่จะซื้อสินค้าหรูได้ จึงเหมาะที่จะจัดงานแสดงนาฬิกา ซึ่งครั้งนี้รวมกว่า 180 แบรนด์และเลือกรุ่นหายากและรุ่นวินเทจมาจัดจำหน่าย เนื่องจากกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งคาดการณ์เงินสะพัดในงานประมาณ 360 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกนี้ตลาดนาฬิกาโตเพียง 2-3% แต่เชื่อว่ายอดขายจะคึกคักในครึ่งปีหลัง และทำให้อัตราการเติบโตทั้งปีขยับแตะ 8% ซึ่งมูลค่าตลาดนาฬิกาของไทยสูงถึงเกือบ 4.6 หมื่นล้านบาท
คัตซึมิ คุโบตะ กรรมการผู้จัดการคนใหม่ของ บริษัท ไซโก (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว THE STANDARD ว่าความตั้งใจของบริษัทในปีนี้คือการผลักดันแบรนด์นาฬิกาหรู Grand Seiko ให้มากขึ้น ซึ่งแบรนด์เน้นเรื่องการทำนาฬิกาด้วยมือจากช่างฝีมือ ซึ่งสะท้อนคุณค่าของนาฬิกาที่แท้จริง (Real Value of True Watch) คุณภาพงานฝีมือจากญี่ปุ่นเป็นที่ยอมรับทั่วโลกและไม่แพ้นาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์แน่นอน ซึ่งระดับราคาขายในไทยก็ใกล้เคียงกับญี่ปุ่นที่เฉลี่ย 2-2.5 แสนบาทต่อเรือน โดยภายในปีนี้ลูกค้าจะสามารถสั่งทำนาฬิกาโดยเลือกโลหะราคาสูงและอัญมณีตามที่ต้องการได้ ปัจจุบันตลาดใหญ่ที่สุดของ Grand Seiko อยู่ที่ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา
ขณะที่ ศาศวัต ตัณมานะศิริ Vice President ของ T.S.L. International ผู้จัดจำหน่ายนาฬิกา Tag Heuer กล่าวว่าตอนนี้บริษัทปรับกลยุทธ์ในการทำตลาดใหม่ โดยขยับลงมาที่ตลาดระดับกลางเดิมที่เคยครองแชมป์คือระดับราคา 3-4 หมื่นบาท เพื่อรุกตลาดให้หนักและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น ซึ่งแบรนด์สำหรับตลาดบนยังคงเป็น Hublot และ Zenith ซึ่งยังทำตลาดได้ดี นอกจากนี้ยังเปิดตัวสมาร์ทวอตช์ซึ่งเป็น Swiss Made หรือนาฬิกาที่มีชิ้นส่วนผลิตในสวิตเซอร์แลนด์กว่า 60% โดยรองรับระบบปฏิบัติการของ Google ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างรายได้ 5% ของสินค้าทั้งหมด นอกจากนี้ยังเตรียมออกนาฬิกาตูร์บิยอง ซึ่งทำราคาแข่งขันได้ที่ 6 แสนบาทต่อเรือนเท่านั้นเมื่อเทียบกับนาฬิการะดับเดียวกันในราคาหลักล้านบาท
สำหรับตลาดนาฬิกาหรูทั่วโลก เอเชียยังเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดถึง 50% รองลงมาคือยุโรปและอเมริกา ซึ่งประเทศไทยถือเป็นตลาดสำคัญที่มีศักยภาพจากผู้ซื้อคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาช้อปปิ้งระหว่างท่องเที่ยวด้วย
