×

ทำความรู้จักหุ้น ‘SFT’ ก่อนเทรด 29 ตุลาคมนี้

28.10.2020
  • LOADING...
ทำความรู้จักหุ้น ‘SFT’ ก่อนเทรด 29 ตุลาคมนี้

หุ้นชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) หรือ SFT เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 29 ตุลาคมนี้ ด้วยราคา IPO 3.80 บาท ผู้บริหารมั่นใจ นักลงทุนให้การตอบรับดี ชูจุดแข็งเป็นผู้ให้บริการที่ครบวงจรและมีความเชี่ยวชาญ พร้อมตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะโต 5% 

 

ตลาดหลักทรัพย์ mai เพิ่มสินค้ารับหลักทรัพย์หุ้นสามัญ บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) หรือ SFT เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และเริ่มทำการซื้อขายวันที่ 29 ตุลาคมนี้

 

บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) หรือ SFT ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านการพิมพ์ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

 

1. ผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูป สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามระบบการพิมพ์ ได้แก่ ระบบการพิมพ์กราเวียร์ และระบบการพิมพ์ดิจิทัล 

2. ผลิตภัณฑ์อื่น ได้แก่ แม่พิมพ์ (Printing Cylinder) และฟิล์มยืด (Stretch Film)

 

บริษัทมีจำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ และจำนวนหุ้นชำระแล้ว 440 ล้านหุ้น ราคา Par 0.50 บาทต่อหุ้น ทุนชำระแล้ว 220 ล้านบาท จำนวนหุ้น IPO 120 ล้านหุ้น โดยจัดสรรให้แก่นักลงทุนแต่ละประเทศ ดังนี้

 

1. บุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ จำนวน 60 ล้านหุ้น หรือ 50%

2. นักลงทุนสถาบัน จำนวน 30 ล้านหุ้น หรือ 25%

3. ผู้มีอุปการคุณของบริษัท จำนวน 18 ล้านหุ้น หรือ 15% 

4. กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท จำนวน 12 ล้านหุ้น หรือ 10% 

 

ทั้งนี้ ผู้มีส่วนร่วมในการบริหารที่ไม่ติด Silent Period มีจำนวน 62 ล้านหุ้น หรือ 14.09% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้

 

บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO 3.80 บาทต่อหุ้น รวมมูลค่าระดมทุน 456 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ใช้เงินจากการระดมทุน ดังนี้

 

1. ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จำนวน 160 ล้านบาท ใช้ระหว่างปี 2563-2564

2. ลงทุนในโรงงานผลิตแห่งใหม่ จำนวน 260 ล้านบาท ใช้ระหว่างปี 2563-2566

3. เงินทุนหมุนเวียนและใช้สำหรับการดำเนินการทั่วไป จำนวน 8.02 ล้านบาท ใช้ระหว่างปี 2563-2566

 

บริษัทมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการ ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ 

 

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2563 (ของมหาชน) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2563 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสะสม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 จำนวนทั้งสิ้น 35.20 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลหุ้นละ 0.11 บาท โดยบริษัทมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวภายในวันที่ 4 กันยายน 2563 

 

อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นที่ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไปครั้งแรกนี้จะไม่ได้รับเงินปันผลดังกล่าว

 

ผลการดำเนินงานสำหรับปี 2560, 2561 และ 2562 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 391.48 ล้านบาท 430.74 ล้านบาท และ 586.40 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าวเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนลูกค้า โดยมีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี และยอดขายเฉลี่ยต่อรายที่เพิ่มขึ้นจากยอดสั่งซื้อของลูกค้าเดิมหลายรายที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก โดยบริษัทมีการลงทุนในเครื่องจักรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังการผลิตและสามารถรองรับการขยายตัวของธุรกิจได้

 

 

สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 และ 2563 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 294.95 ล้านบาท และ 330.47 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 35.52 ล้านบาท หรือ 12.04% จากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อของลูกค้ารายเดิมและลูกค้ารายใหม่ และกำลังการผลิตที่สามารถดำเนินการผลิตได้ตามปริมาณและตามระยะเวลาการผลิตที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ประกอบกับเหตุการณ์การกักตุนสินค้าของผู้บริโภค ซึ่งทำให้บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มมียอดขายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนของสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าจำนวน 2.22 ล้านบาท

 

ในส่วนของกำไรสุทธิสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 และ 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 32.15 ล้านบาท และ 34.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.81 ล้านบาท หรือ 8.74% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายของบริษัทจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า และการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่นจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนของสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ในขณะที่บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทซึ่งทำให้บริษัทมีต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ดังนั้นจึงทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มมากขึ้น

 

ผู้บริหารชูจุดแข็ง ‘บริการครบวงจร’

ซุง ชง ทอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SFT เปิดเผยผ่านเอกสารเผยแพร่ โดยมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากบริษัทมีศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่ดีจากจุดแข็งด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปมานานกว่า 12 ปี ซึ่งเข้าไปช่วยตอบโจทย์ทางการตลาดด้านการสร้างภาพลักษณ์และมูลค่าให้แก่แบรนด์สินค้า (Brand Identity) ผ่านการให้บริการฉลากฟิล์มหดรัดรูปแบบครบวงจร 

 

ปัจจุบันอุตสาหกรรมการพิมพ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในประเทศไทยมีอัตราขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่าปีนี้จะเติบโตประมาณ 5% แม้จะมีปัจจัยลบจากโควิด-19 ก็ตาม เนื่องจากไทยถือเป็นฐานการผลิตสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพื่อส่งไปจำหน่ายต่างประเทศ ส่งผลต่อความต้องการฉลากฟิล์มหดรัดรูปในการนำไปใช้สร้างแบรนด์สินค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปยังนำไปใช้ทดแทนฉลากประเภทอื่นๆ จึงเป็นโอกาสของ SFT ที่มีความสามารถด้านการผลิตด้วยเทคโนโลยีทันสมัย 

 

ขณะเดียวกัน คาดว่าผลประกอบการบริษัทปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%

 

ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising