เกิดอะไรขึ้น:
หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ปรับอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate ลดลง 50 bps นักเศรษฐศาสตร์ของ InnovestX คาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง 50 bps ใน 4Q67 และ 50 bpd ใน 1H68 ดังนั้นจึงคาดว่าธนาคารต่างๆ จะปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (MLR) ลดลง 25 bps ใน 4Q67 และปรับลงอีก 25 bps ใน 1H68 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทเงินทุนลดลงในระดับเดียวกัน
เนื่องจากแหล่งเงินทุนของบริษัทที่ประกอบธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Consumer Finance) ส่วนใหญ่มาจากการกู้ยืมระยะยาว ดังนั้นต้นทุนทางการเงินจะทยอยปรับลงในระยะเวลา 2 ปีหลังจากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
InnovestX Research ปรับประมาณการ NIM เพิ่มขึ้น 1-3 bps สำหรับปี 2567, 8-19 bps สำหรับปี 2568 และ 7-23 bps สำหรับปี 2569 โดยคาดว่าจะเห็น NIM ของ TIDLOR และ SAWAD ปรับตัวดีขึ้นมากที่สุดในปี 2568 และปี 2569 ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราผลตอบแทนของเงินให้สินเชื่อที่สูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อและต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
ในขณะเดียวกัน คาดว่าจะเห็น NIM ของ AEONTS และ KTC ลดลงในปี 2568 อันเป็นผลจาก: 1. มาตรการแก้หนี้เรื้อรังของ ธปท. และ 2. การให้เครดิตเงินคืนเทียบเท่าดอกเบี้ย 0.5% ของยอดค้างชำระสินเชื่อบัตรเครดิตใน 1H68 และ 0.25% ใน 2H68 สำหรับลูกหนี้ที่ผ่อนชำระขั้นต่ำมากกว่าหรือเท่ากับ 8%
ด้านคุณภาพสินทรัพย์ แม้ผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้ว แต่กลุ่ม Consumer Finance ยังคงเผชิญกับวังวนปัญหาด้านคุณภาพสินทรัพย์ ใน 4Q67 คุณภาพสินทรัพย์น่าจะได้รับประโยชน์จากการที่รัฐบาลแจกเงินสดคนละ 10,000 บาท ให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการจำนวน 14.5 ล้านคน เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน ซึ่งน่าจะชดเชยกับผลกระทบเชิงลบจากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง (หลักๆ ในภาคเหนือของประเทศไทย) ราคารถมือสองยังคงมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการเร่งยึดรถ ดัชนีราคารถมือสองลดลง 7%MoM และ 15%YoY ในเดือนกรกฎาคม
บริษัท Consumer Finance ใช้นโยบายปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยปรับ LTV ลดลงใน 1H67 ซึ่งคาดว่า MTC, TIDLOR และ SAWAD จะมี Credit Cost เพิ่มขึ้น HoH ใน 2H67 เนื่องจากคาดว่าราคารถมือสองจะลดลงอีก อย่างไรก็ตาม คาดว่า KTC และ AEONTS จะมี Credit Cost ลดลง HoH ใน 2H67 จากผลกระทบเชิงบวกจากการแจกเงิน 10,000 บาท และผลกระทบ Front-Loaded จากการปรับเพิ่มอัตราชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% ใน 1H67
ด้านการเติบโตของสินเชื่อมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อจะชะลอตัวลงในปี 2567-2569 อันเป็นผลมาจาก:
- การใช้นโยบายปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น
- การเร่งตัดหนี้สูญ
- สภาวะแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยในการออกหุ้นกู้
- การปรับเพิ่มอัตราชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8%
- การใช้มาตรการกำหนดภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) ในปี 2568 สำหรับสินเชื่อจำนำทะเบียน คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 10-18% ในปี 2567-2569 เทียบกับ 20-30% ในปี 2562-2566
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มเงินทุน (SETFIN) ปรับขึ้น 22% ราคาหุ้น TIDLOR ปรับขึ้น 33% ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 9.3%
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรปี 2568 เพิ่มขึ้น 2-4% และปี 2569 เพิ่มขึ้น 4-6% โดยในปี 2568 คาดว่า MTC จะเป็นบริษัทที่รายงานกำไรเติบโตแข็งแกร่งที่สุดที่ 27% ตามด้วย TIDLOR ที่ 21% และ SAWAD ที่ 12% (เพิ่มขึ้น 3% สำหรับ EPS) ในขณะที่ KTC และ AEONTS จะรายงานกำไรเติบโตเล็กน้อยที่ 5% สำหรับ 2H67 คาดว่ากำไรจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว QoQ และ YoY โดยเกิดจากสินเชื่อที่อยู่ในระดับทรงตัว QoQ NIM ที่ลดลง QoQ จากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และ Credit Cost ที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ได้ปรับราคาเป้าหมายของบริษัท Consumer Finance (ยกเว้น AEONTS ที่รอการประกาศผลประกอบการ 2QFY67 ในเดือนตุลาคม) เพิ่มขึ้น 11-29% เพื่อสะท้อน Sustainable ROE ที่สูงขึ้นจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ดังนั้นจึงปรับคำแนะนำสำหรับ TIDLOR ขึ้นสู่ Outperform และเปลี่ยนหุ้นเด่นของกลุ่มจาก MTC เป็น TIDLOR เนื่องจาก Valuation ของ TIDLOR ต่ำกว่าและถูกกว่า MTC
อย่างไรก็ดี ยังคงคำแนะนำ Outperform สำหรับ MTC และ AEONTS รวมถึงคงคำแนะนำ Underperform สำหรับ KTC (เนื่องจาก Valuation แพงเมื่อเทียบกับแนวโน้มการเติบโต) และ SAWAD (เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันในด้าน ESG จากการสืบสวนของ DSI คุณภาพสินทรัพย์จากธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ และข้อจำกัดด้านการจัดหาเงินทุน)
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง, ความเสี่ยงด้าน Credit Cost จากราคารถมือสองที่ลดลง, การแข่งขันที่สูงขึ้นจากธนาคารต่างๆ และความเสี่ยง ESG จากการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct) รวมไปถึงความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ