ความเคลื่อนไหวตลาด หุ้นไทย วันนี้ (14 มีนาคม) ดัชนี SET ดิ่งลง 49.18 จุด ปิดที่ 1,523.89 จุด ปิดลบต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน โดยดัชนีลดลงไปถึง 90 จุด หรือ -5.6% จากเมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา ขณะที่ปริมาณการซื้อขายวันนี้สูงถึงระดับ 1.03 แสนล้านบาท
“ส่วนตัวค่อนข้างประหลาดใจที่หุ้นไทยลดลงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ตลาดหุ้นรอบบ้านไม่ได้ลดลงหนัก สาเหตุหนึ่งอาจเพราะดัชนีหลุดแนวรับสำคัญบริเวณ 1,550 จุด ทำให้เกิดแรงขายเป็นลูกโซ่ ทั้งจากส่วนของ Block Trade และการใช้มาร์จิ้น” ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ความเห็นเกี่ยวกับภาวะตลาดหุ้นไทยในวันนี้
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจวันนี้คือปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นถึงระดับแสนล้านบาท สูงผิดปกติจากช่วงก่อนหน้านี้ที่อยู่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท สะท้อนถึงการเคลียร์สถานะออกไปมาก
หลังจากนี้คงต้องดูภาวะตลาดโลกประกอบ รวมถึงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่จะประกาศวันนี้ หากออกมาเท่ากับหรือต่ำกว่าที่คาด อาจทำให้ตลาดหยุดลงได้
“สำหรับคนรับมาระหว่างทาง ถ้าจะ Cut Loss ควรทำตั้งแต่หลุด 1,550 จุด แต่ถึงจุดนี้ที่แนวรับแต่ละแนวเริ่มถี่มากขึ้นเป็นจุดที่ไม่ควรจะถือต่อ ในมุมกลับกัน Earning Yield Gap ของหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4% เป็นจุดที่ไม่แพงแล้ว ส่วนตัวมองว่าไม่ได้เสี่ยงเกินไปสำหรับการทยอยซื้อ”
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจคือ กลุ่มอุปโภคบริโภค หรือท่องเที่ยว จากก่อนหน้านี้ที่ทุกคนรู้ว่าดี แต่ราคาหุ้นแพงเกินไป
ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ มองว่า การดิ่งลงแรงระดับนี้แน่นอนว่าเป็นผลจากการบังคับขาย (Forced Selling) รวมทั้งแรงกดดันจากการ Short Selling
“หุ้นไทยเป็นตลาดที่กระจุกตัวด้วยการใช้มาร์จิ้น เมื่อตลาดทิ้งตัวแรงจะเกิดการบังคับขาย ทั้งๆ ที่วันนี้ไม่ได้มีปัจจัยลบใหม่ ฉะนั้นเมื่อปัจจัยเหล่านี้จบลง และตลาดมีข่าวดีเข้ามาเล็กน้อยจะดีดกลับได้แรง แต่ความยากคือจุดไหนที่ข่าวดีจะเข้ามา”
ส่วนภาพรวมหุ้นโลกในช่วงบ่ายที่ผ่านมา หุ้นยุโรปเริ่มทรงตัวอยู่ได้ ขณะที่ดัชนี Dow Jones Futures กลับมายืนบวก ขณะที่ตัวบ่งชี้เกี่ยวกับสภาพคล่องยังไม่ได้มีอะไรที่บ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงลุกลามเป็น Systematic Risk
“ตลาดที่ไม่มีคนกล้ารับทำให้เกิดการไหลลงพรวดหลายช่อง เมื่อหลุดแนวรับสำคัญบริเวณ 1,550-1,540 จุด จึงเป็นเหมือนเขื่อนแตก และกลายเป็น Panic Sell ออกมา”
อย่างไรก็ตาม หากดูจากค่าเงินบาทที่เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ จะเห็นว่าวันนี้เงินบาทแข็งค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค รองจากเงินริงกิตของมาเลเซีย สะท้อนว่าแรงขายที่เกิดในวันนี้ไม่ได้เกิดจาก Fund Flow เป็นหลัก
“ณ จุดนี้นักลงทุนควร Wait and see เพื่อรอดูว่าตลาดจะเริ่มมีข่าวดีและพลิกกลับได้เมื่อใด ตอนนี้เหมือนกับว่าไทยเจอวิกฤตสภาพคล่องแทนสหรัฐฯ เพราะดัชนี SET ดิ่งลงแรงกว่า S&P 500 ไปแล้ว จากช่วงปลายสัปดาห์ก่อน ซึ่งดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล”
ด้าน ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แรงขายที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยจนทำให้ดัชนี SET ดิ่งลง 3.13% เป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงเกินไป (Overreact) ของตลาด โดยกลุ่มนักลงทุนที่ขายออกมาในวันนี้คือ ต่างชาติขายออกกว่า 7 พันล้านบาท และสถาบันในประเทศขายออกกว่า 2 พันล้านบาท ส่วนนักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อสุทธิราว 1 หมื่นล้านบาท
แรงขายที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ได้เป็นเพราะเรื่อง Forced Selling แต่เป็นคำสั่งขายที่เข้ามาช่วงท้ายตลาด หลังจากที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาคปิดทำการไปแล้ว ขณะที่ระดับของการขายชอร์ตก็ยังคงต่ำกว่า 10% ถือเป็นระดับปกติที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
“ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงตลาดสุดท้ายที่ยังคงเปิดทำการ ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งเทขายต่อ เนื่องจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และอาจนำเงินไปพักใน Safe Haven”
บทความที่เกี่ยวข้อง
- หุ้นไทย แย่สุดอันดับ 3 ของโลก! ‘ดร.นิเวศน์’ ชี้ 4 สาเหตุสำคัญ ด้าน ‘หมอพงศ์ศักดิ์’ แนะนักลงทุนค้นหา ‘ความสามารถที่ยั่งยืน’ ของตัวเอง
- นักกลยุทธ์ลงทุน ยก ‘หุ้นจีน-อาเซียน’ สินทรัพย์ลงทุนที่เหมาะสุดยามเกิดภาวะ Soft Landing
- ทำความรู้จัก ‘หมี-กระทิง-พิราบ-เหยี่ยว’ และเหล่าสัตว์อื่นๆ มีความหมายอย่างไรในโลกการเงิน