×

นักกลยุทธ์ลงทุน ยก ‘หุ้นจีน-อาเซียน’ สินทรัพย์ลงทุนที่เหมาะสุดยามเกิดภาวะ Soft Landing

13.03.2023
  • LOADING...
หุ้นจีน หุ้นอาเซียน

นักกลยุทธ์ลงทุนแนะลงทุนหุ้นจีน-อาเซียน เหตุไร้ผลกระทบการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ Recession อีกทั้งยังมีปัจจัยโดดเด่นเฉพาะตัวจากแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ พร้อมประสานเสียงเศรษฐกิจโลกปีนี้ บอบช้ำสุดคือภาวะ Soft Landing

 

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม THE STANDARD WEALTH ได้จัดเวทีเสวนา ‘WEALTH CLUB 2023: RISING IN RECESSION พุ่งทะยานในความถดถอย’ โดยบนเวทีเสวนาหัวข้อ DIVERSIFYING PORTFOLIO IN DECOUPLING MARKET เฟ้นหาสุดยอดหุ้นต่างประเทศ เมื่อเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ยุค DECOUPLING ได้รับเกียรติร่วมเสวนาโดย สรพล วีระเมธีกุล หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย และ Anthony Joseph Raza, Head of Multi-Asset Strategy ของ UOB Asset Management 

 

สรพล วีระเมธีกุล หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าจะเกิดภาวะ Recession การเกิด Hard Landing, Soft Landing และ No Landing นั้น ประเมินว่า Soft Landing มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นมากที่สุด โดยเชื่อว่าสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง และสามารถรองรับกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้ จึงไม่กระทบไปถึงขั้น Hard Landing 

 

เขากล่าวอีกว่า ปัจจัยที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลก มองว่าตัวเลขที่การเร่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะเป็นตัวเร่ง Recession เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะรับได้นานแค่ไหน เพราะจะเห็นว่าคนถูกเลย์ออฟและถูกไล่ออกมากขึ้น 

 

สำหรับความกังวลเรื่องความเสี่ยงจากภาวะโลกแบ่งขั้วเศรษฐกิจ หรือ Decoupling นั้น สรพลมีมุมมองว่าปัจจัยนี้ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ เพราะเห็นสัญญาณที่ชัดเจนมาตั้งแต่ปี 2018 ที่สหรัฐฯ ลดการพึ่งพิงต้นทุนการนำเข้าจากจีน ตลอดจนการย้ายฐานผลิตจากจีนมาเวียดนามและไทย และสำหรับผลกระทบต่อจีนนั้น เชื่อว่าในปีนี้จะไม่ต่างจาก 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่อาจจะทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้งหาก โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาสู่บทบาทผู้บริหารประเทศอีกครั้ง อีกทั้งยังมองว่าการที่จีนและสหรัฐฯ ขยับหรือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจะกระทบต่อยุโรปค่อนข้างมาก เพราะพึ่งพา Raw Material จากสองประเทศดังกล่าว ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ควบคุมได้ยาก

 

“การย้ายฐานผลิตนั้นถ้าไม่มั่นใจจริงๆ (ว่าจะเกิดการ Decoupling) คงไม่กล้าย้ายฐานมา เพราะฉะนั้น ‘การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ’ ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนมีแต่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป หรืออาจจะแย่ลง” 

 

ส่วนเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ประเมินว่าอาจจะกระทบแต่ไม่กระทบโดยตรง โดยยังต้องจับตาดูสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนก่อน หากว่าสงครามปะทุขึ้นอย่างรุนแรงอีก ผลกระทบอาจจะเพิ่มขึ้นเพราะราคาน้ำมันที่อาจดีดตัวขึ้นในภาวะสงคราม 

 

แนะลุยลงทุนช่วง ‘ดอกเบี้ยพีค’

 

สำหรับมิติการลงทุน สรพลมองว่าปีนี้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงจะค่อยๆ ผ่านจุดสูงสุดหรือจุดพีคในที่สุด จากนั้นจะค่อยๆ ปรับตัวลดลงได้ และจากมุมมองดังกล่าว สินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจสูงสุดและน่าลงทุนคือ ‘หุ้นจีน’ และแนะนำให้นักลงทุนเข้าลงทุนในหุ้นจีน 

 

เหตุผลหลักมาจาก 1. เศรษฐกิจจีนยังอยู่ห่างไกลจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น และเงินเฟ้อของจีนก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่น่ากังวล และ 2. นโยบายการเงินของจีนยังได้รับการซัพพอร์ตจากนโยบายทางการเมือง และปัจจัยนี้จะยิ่งเพิ่มอานิสงส์ต่อเศรษฐกิจจีนยิ่งขึ้น เมื่อ หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีคนล่าสุดได้เข้ามาดำรงตำแหน่ง ซึ่งหลี่เฉียงนั้นมีนโยบายสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบ ‘ค่อยเป็นค่อยไป’ และยั่งยืน 

 

“ตอนที่ดอกเบี้ยขาขึ้นและขึ้นถึงจุดสูงสุด เราควรจะซื้อหุ้น ไม่ใช่ขายหุ้น เพราะไทม์มิ่งที่ดีของหุ้นคือไทม์มิ่งที่เห็นจุดพีคของอัตราดอกเบี้ย” สรพลกล่าว 

 

เขากล่าวเพิ่มว่า หากดูอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประเทศมหาอำนาจของโลก มีโอกาสสูงที่จีนจะขึ้นแซงสหรัฐฯ และเป็นเบอร์ 1 ของโลก ขณะเดียวกันสหรัฐฯ เองก็พยายามล็อบบี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม

 

เตือนหุ้นไทยยังไม่เหมาะถือยาว

 

ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้น สรพลมีมุมมองว่ายังไม่เหมาะจะถือลงทุนระยะยาวนัก ส่วนในระยะสั้นนั้น ตลาดหุ้นไทยน่าจะได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยว หลังจากที่จีนเปิดประเทศอีกครั้ง ทำให้คนจีนที่อัดอั้นมานานออกมาท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยด้วยเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้น แต่หุ้นที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงอย่างโลจิสติกส์ อิเล็กทรอนิกส์ ราคาหุ้นได้ตอบรับปัจจัยนี้ไปแล้ว 

 

โดยปีนี้สรพลมองว่าหุ้นกลุ่มกีฬาและความสวยความงามจะปรับตัวขึ้นดีกว่าตลาดในระยะสั้น ส่วนระยะกลาง-ยาวคือการลงทุนคาร์บอนเครดิต แต่ข้อจำกัดคือไทยยังไม่มีมาตรการบังคับเท่าสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ แต่จะเห็นสัญญาณมาตรการกีดกันทางการค้าเริ่มกดดัน หากสามารถพัฒนาหุ้นคาร์บอนเครดิตได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี

 

ส่งท้าย สรพลกล่าวว่า การลงทุนไม่ควรลงทุนเพียงประเภทใดประเภทหนึ่งแค่บอนด์และหุ้น สินทรัพย์ที่ควรมีคือทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ที่จะเข้ามาลดความเสี่ยงในการลงทุนด้วย

 

UOB ยอมรับ เกิด Recession หรือไม่ ยังตีความยาก

 

ด้าน Anthony Joseph Raza, Head of Multi-Asset Strategy ของ UOB Asset Management กล่าวบนเวทีเดียวว่า เศรษฐกิจโลกขณะนี้อยู่ในภาวะที่ขาดความสมดุลและมีความซับซ้อนสูง โดยเฉพาะเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารกลางยังต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย โดยประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังมีโอกาสจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้ง ขณะที่การตีความภาวะถดถอยในช่วงนี้ก็มีความยาก เช่น ในสหรัฐฯ เศรษฐกิจติดลบ 2 เดือน แต่ยังไม่นับเป็นภาวะถดถอยเพราะตัวเลขการจ้างงานยังสูง

 

อย่างไรก็ดี ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสสูงที่จะ Soft Landing เนื่องจากภาพรวมธุรกิจธนาคารยังแข็งแกร่ง และอัตราเงินเฟ้อเริ่มมีแนวโน้มสมดุลมากขึ้น เงินเฟ้อพื้นฐานยังรองรับการขึ้นดอกเบี้ยได้ ซึ่งในภาวะเช่นนี้ UOB แนะนำให้ลงทุนในบอนด์ที่ยีลด์ค่อนข้างพีคแล้ว 

 

“ขณะที่การลงทุนในหุ้นก็สามารถทำได้ โดยหุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นเอเชีย ที่ตอบโจทย์ธีมสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ โครงสร้างประชากร กระแสกรีน และนวัตกรรมได้ครบ” Anthony กล่าว

 

มองหุ้นอาเซียนน่าสนใจสุด 

 

ทั้งนี้ หากเจาะลงมาในกลุ่มหุ้นเอเชีย ยังมองว่าหุ้นอาเซียนมีความน่าสนใจมากกว่าหุ้นจีน เนื่องจากเศรษฐกิจจีนในระยะข้างหน้าจะไม่สามารถเติบโตสูงเป็นตัวเลขสองหลักได้เหมือนในอดีต เนื่องจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งยังมีปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่คาดว่าจะรบกวนตลาดต่อเนื่อง ขณะที่หุ้นอาเซียนจะได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีนโดยเฉพาะภาคบริการ 

 

Anthony ยังให้มุมมองว่า สูตรการลงทุนในสินทรัพย์ผสมระหว่างหุ้น พันธบัตร ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตยังเป็นสูตรที่ใช้ได้อยู่ แม้ว่าในปีที่ผ่านมาทั้งหุ้นและบอนด์จะให้ผลตอบแทนติดลบค่อนข้างมาก แต่หากดูค่าเฉลี่ยย้อนหลังไปในรอบ 100 ปีจะพบว่าสูตรดังกล่าวช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตได้

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising