‘ต่างชาติทิ้งหุ้นไทย’ เป็นหนึ่งในถ้อยคำที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งสะท้อนจากยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2554-2563) ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 8.5 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันสถิติที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงก่อนหน้านี้คือ ‘สัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติ’ ซึ่งลดลงจาก 35-36% มาอยู่ที่ราว 27-28%
จากประเด็นดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ระบุผ่าน SET Note ว่า “นักลงทุนต่างประเทศออกจากตลาดหุ้นไทย” เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2554-2563) มูลค่าการถือครองหุ้นไทยของผู้ลงทุนชาติเพิ่มขึ้น 68.18% คิดเป็นมูลค่า 4.48 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของดัชนี SET ที่ 34.97% และยังสูงกว่าการเพิ่มขึ้นของดัชนี SET50 ที่ 63.02%
“สถิติดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติยังไม่ได้ทิ้งหุ้นไทย แม้ว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมาต่างชาติจะขายสุทธิ 8.5 แสนล้านบาท แต่เป็นการขายในส่วนของ Local Shares 2.3 ล้านล้านบาท เพื่อทำกำไรระยะสั้น ขณะที่ฝั่งของ NVDR เป็นการซื้อสุทธิกว่า 1.6 ล้านล้านบาท และในส่วนของ Foreign Shares เป็นการขายสุทธิเพียง 8.08 หมื่นล้านบาท”
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่าหุ้นไทยยังคงเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ ในลักษณะของการถือครองในเชิงกลยุทธ์ ซึ่งการถือครองส่วนใหญ่จะเป็นการถือครองระยะยาวถึง 79.14% ผ่าน Foreign Shares
ส่วนประเด็นที่ว่าสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติลดลงนั้น เป็นผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ บริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ (หุ้น IPO) ซึ่งมีการถือครอง Foreign Shares โดยเฉลี่ย 7% ณ วันซื้อขายวันแรก แต่มูลค่าของหุ้น IPO เหล่านี้เพิ่มขึ้นในอัตราที่มากกว่า รวมถึงบริษัทที่ถูกเพิกถอนออกจากตลาด มีการถือครอง Foreign Shares เฉลี่ย ณ วันที่เพิกถอน 22% รวมถึงผลกระทบจากการที่นักลงทุนไทยซื้อหุ้นกลับคืนจากนักลงทุนต่างชาติ
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2564 ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นฝ่ายขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 2.87 หมื่นล้านบาท ต่อเนื่องจากปี 2563 ที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2.64 แสนล้านบาท ส่วน 3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 5.65 แสนล้านบาท
ด้าน ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยถึงกรณีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ว่า ผลกระทบย่อมมีแน่นอน ส่วนจะมากน้อยเพียงใดคงต้องพิจารณาในแต่ละบริษัท หรือแต่ละอุตสาหกรรม
“ตอนนี้อาจจะตอบได้ยากว่าผลกระทบจากการระบาดครั้งนี้มากกว่าหรือน้อยกว่าครั้งที่ผ่านมา ทั้งนี้ อยากให้วิเคราะห์ผลกระทบทีละจุดแยกกันไป เช่น ภาคท่องเที่ยว ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับกระทบมานานแล้ว ต่อให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ ผลกระทบส่วนเพิ่มก็อาจจะไม่มากแล้ว หลังจากนั้นจึงค่อยกลับมาวิเคราะห์ที่ภาพรวม”
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือการกระจายวัคซีนในประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยให้ภาคธุรกิจสบายใจมากขึ้น อย่างไรก็ดี จะเห็นว่าภาคธุรกิจทุกวันนี้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น
พิสูจน์อักษร: ชฎานิสภ์ นุ้ยฉิม
