ความพยายามในการลอบสังหาร โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ สร้างความตื่นตะลึงให้กับคนทั่วโลก เพราะนอกจากจะเป็นการก่อเหตุกลางวันแสกๆ แล้ว ยังเป็นการกระทำต่อเป้าหมายผู้สมัครชิงตำแหน่งที่เป็นอดีตประธานาธิบดี ซึ่งได้รับการอารักขาอย่างแน่นหนาจากหน่วยอารักขาบุคคลสำคัญ หรือ Secret Service ของสหรัฐฯ แม้ว่าทรัมป์จะรอดตายไปได้อย่างหวุดหวิดเพราะกระสุนเฉี่ยวใบหูด้านขวาแค่เสี้ยวเดียว แต่กระสุนที่ออกมาก็โดนผู้สนับสนุนด้านหลังเสียชีวิตไป 1 คน และบาดเจ็บสาหัส 2 คน
FBI ระบุตัวผู้พยายามสังหารทรัมป์ว่าชื่อ โธมัส แมทธิว ครูกส์ (Thomas Matthew Crooks) อายุเพียง 20 ปี ซึ่งใช้ปืนลักษณะคล้าย AR-15 ที่พ่อของเขาซื้อเอาไว้ ยิงกระสุนจำนวน 8 นัดจากหลังคาอาคารที่ห่างออกไป 122 เมตรจากเวที แต่เขาก็ถูกสังหารทันทีโดยหน่วยต่อต้านพลแม่นปืนของ Secret Service ซึ่งระบุตำแหน่งและยิงสังหารได้จากระยะไกล
ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้แรงจูงใจของเขา แต่เพื่อนของเขาที่โรงเรียนเล่าให้ฟังว่าเขาเป็นเด็กที่เรียนดี เงียบๆ แต่ถูกแกล้งอยู่บ่อยๆ ในวันก่อเหตุเขาสวมเสื้อของช่อง Demolition Ranch ซึ่งเป็นช่องยูทูบที่นำเสนอและส่งเสริมการใช้งานปืน นอกจากนั้นเมื่อ FBI ค้นรถและบ้านของเขาก็เจออุปกรณ์การทำระเบิดอีกด้วย
ผู้ก่อเหตุในลักษณะของครูกส์นี้เราเรียกว่า Lone Wolf ซึ่งก็คืออาชญากรที่ก่อเหตุต่อสาธารณะด้วยตัวคนเดียว และวางแผนคนเดียวไม่ได้เปิดเผยหรือพูดคุยกับใคร ผู้ก่อเหตุในลักษณะนี้พบมากในสหรัฐอเมริกา โดยมักมีแรงจูงใจมาจากความคับข้องใจและการพยายามแก้แค้นต่อสังคม แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าครูกส์มีแรงจูงใจอะไร เพราะตัวเขาเองก็ลงทะเบียนเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันที่ทรัมป์สังกัด แต่ก็เคยบริจาคเงินให้กับแคมเปญการรณรงค์ให้คนไปเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตเช่นกัน
ปืนที่เขาใช้ก่อเหตุนั้นยังไม่แน่ชัดว่าเป็นปืนอะไร แต่เท่าที่ทราบข้อมูลคือเป็นปืนที่คล้าย AR-15 ซึ่งได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกา ปืนกึ่งอัตโนมัติแบบนี้เป็นต้นกำเนิดของปืน M16 และ M4 ที่ใช้งานทางทหาร และหาซื้อได้ง่ายในสหรัฐอเมริกา ด้วยคุณสมบัติและประสิทธิภาพที่ค่อนข้างดี ทำให้คนร้ายนำ AR-15 มาก่อเหตุหลายครั้ง ปืนที่เขาใช้ก่อเหตุนั้นยังไม่แน่ชัดว่าเป็นปืนอะไร แต่เท่าที่ทราบข้อมูลคือ เป็นปืนที่คล้าย AR-15 ซึ่งได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกา ปืนกึ่งอัตโนมัติแบบนี้เป็นต้นกำเนิดของปืน M16 และ M4 ที่ใช้งานทางทหาร และสามารถหาซื้อได้ง่ายในสหรัฐอเมริกา ด้วยคุณสมบัติและประสิทธิภาพที่ค่อนข้างดี ทำให้คนร้ายนำ AR-15 มาก่อเหตุหลายครั้ง ส่วนกระสุนที่ใช้มีข่าวว่าเป็นกระสุนขนาด .22 ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็ก แต่น้ำหนักเบาและเสียงไม่ดัง ระยะยิงราว 100 กว่าเมตรก็สามารถใช้สังหารเป้าหมายได้ กระสุนแบบนี้คนไทยน่าจะพอรู้จักดี เพราะเป็นกระสุนแบบเดียวกับที่ใช้สังหาร พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล นั่นเอง
ทั้งนี้ มีหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่สังเกตความผิดปกติของครูกส์ได้และจับตาดูอยู่ รวมถึงแจ้งไปยังหน่วย Secret Service ให้รับทราบแล้ว และในตอนเกิดเหตุนั้นมีพยานเห็นว่าเขาเดินอยู่บนหลังคาซึ่งได้แจ้งหน่วย Secret Service ไปแล้วเช่นกัน แต่ก็ไประงับเหตุไม่ทัน นั่นถือว่าครูกส์มีความสามารถในการยิงปืนมากพอตัว เพราะเขาสามารถยิงปืนไรเฟิล AR-15 จากระยะไกลกว่า 100 เมตรได้เกือบจะเข้าเป้า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีหลายฝ่ายตั้งคำถามว่า การรักษาความปลอดภัยของหน่วย Secret Service นั้นหละหลวมและไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่ เพราะเมื่อวัดจากคนร้ายที่ปีนขึ้นไปบนหลังคาอาคารที่มีอยู่อาคารเดียวในแถบนั้นได้อย่างง่ายดาย ก็ชวนสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่มีการระวังป้องกัน หรือแม้แต่จุดที่ทีมต่อต้านพลซุ่มยิงของหน่วย Secret Service วางกำลังอยู่ก็ถือว่ามองตรงไปยังตำแหน่งที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ แต่ทำไมจึงไม่สามารถสังเกตเห็นคนร้ายได้ก่อนทั้งที่ควรจะมีโอกาส
อย่างไรก็ตาม ถือได้ว่าหน่วย Secret Serviceนั้นตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ค่อนข้างรวดเร็ว โดยไม่กี่วินาทีหลังจากผู้ก่อเหตุยิงปืนออกไป เจ้าหน้าที่ในหน่วยต่อต้านพลซุ่มยิง หรือ Counter Sniper Team ที่วางกำลังอยู่บนตึกอีกฝั่งก็ยิงสังหารคนร้ายด้วยปืน Remington M700 ที่ใช้กระสุน .300 Winchester Magnum และติดกล้องเล็ง ATACR
บนพื้นดินยังมีอีกสองทีมที่ทำหน้าที่อารักขา โดยอีกทีมหนึ่งก็คือหน่วยสนับสนุนทางยุทธวิธี หรือ Counter Assault Team ซึ่งเป็นหน่วยทางยุทธวิธีที่ติดปืนและอุปกรณ์ครบอย่างเปิดเผย และเราจะเห็นได้จากกำลังพลที่แต่งกายและถืออุปกรณ์คล้ายๆ หน่วย SWAT ในหนังเดินขึ้นมา และประทับปืนพร้อมมองหาเป้าหมายที่อาจจะยังมีอยู่ อีกทั้งยังรับหน้าที่ไปพิสูจน์ทราบผู้ก่อเหตุซึ่งถูกทีมต่อต้านพลซุ่มยิงสังหารไปแล้วด้วย
ทั้งสองทีมทำหน้าที่สนับสนุนหน่วยอารักขาประธานาธิบดี หรือ Presidential Protective Division ซึ่งจะอยู่ใกล้ชิดทรัมป์มากที่สุด และในภาพเราจะเห็นว่าเมื่อเสียงปืนดังขึ้น เจ้าหน้าที่ของหน่วยนี้ที่เป็นทั้งชายและหญิงใส่สูทต่างกรูเข้ามากอดทรัมป์และบังร่างของทรัมป์เอาไว้ ซึ่งนั่นคือภารกิจและยุทธวิธีที่พวกเขาฝึกมา คือทำหน้าที่ป้องกันและรับกระสุนแทนบุคคลสำคัญก่อนที่จะสามารถนำตัวบุคคลสำคัญซึ่งในกรณีนี้คืออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากที่เกิดเหตุได้
การอารักขาบุคคลสำคัญนั้นเป็นหน้าที่ของหน่วย Secret Serviceที่ได้ชื่อนี้มาจากการที่หน่วยนี้ต้องหาข่าวผู้ที่อาจมาทำอันตรายต่อประธานาธิบดีในทางลับและต้องไม่เปิดเผยตัวตน โดยนอกจากประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งแล้ว อดีตประธานาธิบดีก็ได้รับความคุ้มครองเช่นกัน
นอกจากนั้น ผู้สมัครประธานาธิบดีก็จะได้รับความคุ้มครองจากหน่วย Secret Serviceด้วย หลังจากเคยเกิดกรณีลอบสังหาร โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี น้องชายของอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต ทำให้มีการแก้กฎหมายให้หน่วย Secret Serviceต้องคุ้มครองผู้สมัครประธานาธิบดีด้วยเป็นเวลา 120 วันจนถึงวันเลือกตั้ง โดยผู้สมัครประธานาธิบดีหลักเท่านั้นที่จะได้รับการคุ้มครอง ซึ่งผู้ที่กำหนดว่าใครเป็นผู้สมัครประธานาธิบดีหลักนั้นก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมินั่นเอง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร กรณีนี้เป็นอีกครั้งที่ความรุนแรงจากอาวุธปืนเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่รัฐธรรมนูญให้สิทธิประชาชนพกอาวุธปืนได้ ทำให้สหรัฐอเมริกามีอัตราการครอบครองปืนต่อประชากรสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งก็ตามมาด้วยอาชญากรรมจากปืนที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกราดยิงในที่สาธารณะ เนื่องจากประชาชนสามารถซื้อหาปืนได้ง่าย ในบางรัฐมีการตรวจสอบประวัติน้อยมากก็จำหน่ายปืนให้แล้ว นอกจากนั้นปืนที่จำหน่ายได้ยังเป็นปืนที่มีประสิทธิภาพสูง มีอำนาจการทำลายล้างค่อนข้างมาก
แต่ในสังคมสหรัฐอเมริกาเองก็มีความเห็นแตกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งซึ่งนำโดยพรรคเดโมแครตต้องการให้มีการควบคุมการจำหน่ายปืน มีการตรวจสอบประวัติผู้ที่ซื้อปืนอย่างเข้มงวด และแบนการจำหน่ายปืนประสิทธิภาพสูงให้กับประชาชน โดยเชื่อว่าจะลดความรุนแรงที่เกิดจากปืนได้ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งที่นำโดยพรรครีพับลิกันและผู้สนับสนุนหลักอย่างสมาคมปืนเล็กยาวแห่งชาติอเมริกา (NRA) ที่เชื่อว่าการมีปืนเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา และถ้าพลเมืองดีมีปืนมากเท่าไรก็จะสามารถใช้ปืนป้องกันภัยให้สังคมจากคนไม่ดีได้ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็คงไม่ได้ส่งผลให้มีการเปลี่ยนท่าทีหรือนโยบายของรีพับลิกันแต่อย่างใด
เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่าเจ้าหน้าที่ FBI จะสามารถสอบสวนจนทราบแรงจูงใจของผู้ก่อเหตุหรือไม่ รวมถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ใกล้เข้ามา แต่หลายฝ่ายก็มองว่า ขนาดก่อนเกิดเหตุทรัมป์ก็มีคะแนนนำอยู่พอสมควรแล้ว การที่ทรัมป์รอดจากเหตุการณ์ไปได้ก็น่าจะส่งผลในเชิงอารมณ์ให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งและช่วยเพิ่มคะแนนเสียงให้กับทรัมป์ได้อีกพอสมควร
ทำให้ถ้าพรรคเดโมแครตยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ก็เชื่อว่าเราจะมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่แต่หน้าเก่าที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ไปอีก 4 ปีแน่นอน
ภาพ: Anna Moneymaker / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP