โลกกำลังชี้เป้าใหม่ของความยั่งยืน
การเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ทำให้การบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) กลายเป็นภารกิจระดับชาติ และ ‘Scope 3’ กำลังกลายเป็นจุดชี้วัดความจริงจังของภาคธุรกิจ
หาก Scope 1 คือการปล่อยจากการดำเนินงานโดยตรงขององค์กร และ Scope 2 คือการใช้พลังงานที่ซื้อมา Scope 3 คือการปล่อยทางอ้อมจากกิจกรรมที่เกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบ การขนส่ง การผลิต ไปจนถึงการใช้สินค้าของผู้บริโภค
แม้จะเป็นส่วนที่จัดการได้ยากที่สุด แต่ในความเป็นจริง การปล่อยคาร์บอนขององค์กรกว่า 70% กลับเกิดจากกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะภาคการผลิต ค้าปลีก และการเงิน ที่สัดส่วน Scope 3 อาจสูงถึง 90% ของการปล่อยทั้งหมด
นั่นทำให้ ‘Scope 3’ ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือโครงสร้างของความสามารถในการแข่งขัน
กติกาโลกใหม่ ไม่ทำไม่ได้
ปี 2568 เป็นต้นมา องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เริ่มกำหนดให้การรายงาน Scope 3 เป็นมาตรฐานบังคับ เพื่อยกระดับการจัดการให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล ขณะเดียวกันระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมในต่างประเทศก็เข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในยุโรป กฎ CSRD (Corporate Sustainability Reporting Directive) บังคับให้บริษัทขนาดใหญ่รายงานข้อมูลความยั่งยืนที่รวมถึง Scope 3 อย่างละเอียด และต้องผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ ขณะที่ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ปี 2569 กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าในสหภาพยุโรปต้องซื้อใบรับรองคาร์บอนตามปริมาณการปล่อยในกระบวนการผลิต
ผลกระทบนี้ไม่เพียงจำกัดอยู่ในระดับนโยบาย แต่ลามไปถึงการเงินและการลงทุน นักลงทุนทั่วโลกใช้ข้อมูล ESG และ Scope 3 เป็นเกณฑ์ประเมินความเสี่ยง บริษัทที่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใสจะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม ‘ความเสี่ยงสูง’ ทั้งต่อการลงทุนและการเข้าถึงแหล่งทุน ธนาคารพาณิชย์ในไทยหลายแห่งจึงเริ่มบรรจุเกณฑ์นี้ไว้ในกระบวนการพิจารณาสินเชื่อ
นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกยังเริ่ม ‘ผลักความรับผิดชอบ’ ด้านคาร์บอนมายังคู่ค้าทุกราย เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ร่วมกัน หากทำไม่ได้ ก็เสี่ยงหลุดจากซัพพลายเชนโลก
สัญญาณจากองค์กรไทย ‘เริ่มลงมือจริง’
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา (2563 – 2567) จำนวนองค์กรไทยที่ขอรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์จาก อบก. เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเกือบ 40% ต่อปี ปัจจุบันมีองค์กร 711 แห่งที่ผ่านการรับรองระดับองค์กร (CFO) และ 437 บริษัทผ่านการรับรองระดับผลิตภัณฑ์ (CFP) รวมสินค้ากว่า 6,000 รายการ
กลุ่มที่ขับเคลื่อนมากที่สุดคือธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ตามด้วยบริการ พลาสติก วัสดุก่อสร้าง และพลังงาน สะท้อนว่าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อาหารและการบริโภคเริ่มปรับตัวก่อน เพราะเป็นกลุ่มที่ถูกแรงกดดันจากตลาดต่างประเทศมากที่สุด
ข้อมูลจริงจาก SET50 ‘Scope 3’ คือของจริง
ข้อมูลจาก SETSMART ระบุว่า บริษัทในดัชนี SET50 ปี 2567 (48 แห่ง) ปล่อยคาร์บอนรวมกว่า 628 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดย Scope 3 มีสัดส่วนสูงสุดถึง 81% ของการปล่อยทั้งหมด
ตัวเลขนี้สะท้อนว่าการลดคาร์บอนไม่สามารถทำได้ด้วยการจัดการภายในองค์กรเท่านั้น แต่ต้องอาศัย ‘การร่วมมือของทั้ง Value Chain’ ตั้งแต่ผู้ผลิตวัตถุดิบไปจนถึงผู้บริโภคปลายทาง
น่าสังเกตว่ามีเพียง 4 บริษัทในกลุ่มนี้ที่ยังไม่มีการทวนสอบข้อมูลคาร์บอนโดยบุคคลภายนอก และกว่า 10 บริษัทที่ยังไม่ได้รายงาน Scope 3 อย่างครบถ้วน สะท้อนว่าช่องว่างด้านการรายงานยังมีอยู่มาก แต่ทิศทางโดยรวมเริ่มชัดว่า ‘การเปิดเผยข้อมูลคือบรรทัดฐานใหม่ของตลาดทุน’
วิธีจัดการ Scope 3: ตัวอย่างจากอุตสาหกรรม
การเงินและธนาคาร – สัดส่วนคาร์บอนส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากสาขาหรืออาคาร แต่เกิดจาก ‘พอร์ตสินเชื่อ’ ที่ปล่อยให้ลูกค้าไปดำเนินธุรกิจ SCBX จึงใช้มาตรฐาน PCAF ประเมินการปล่อยคาร์บอนของลูกหนี้ (Financed Emissions) พร้อมตั้งเป้าลด Scope 1- 2 ลง 90% ภายในปี 2573 และวางเป้าหมายลด Scope 3 ผ่านความร่วมมือกับลูกค้าองค์กรกว่า 200 ราย
อาหารและเครื่องดื่ม – การปล่อยส่วนใหญ่เกิดจากวัตถุดิบเกษตร การใช้ปุ๋ย และการขนส่ง อุตสาหกรรมนี้จึงหันมาส่งเสริมเกษตรคาร์บอนต่ำ และเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ ซึ่งไม่เพียงลดคาร์บอนแต่ยังช่วยลดต้นทุนระยะยาว
ยานยนต์ – ผู้ผลิตรถยนต์สันดาปปล่อยคาร์บอนกว่า 80% จากการใช้งานของลูกค้า การเปลี่ยนผ่านสู่ EV จึงเป็นทางออกหลัก แต่ก็เปิดโจทย์ใหม่เรื่องการผลิตและกำจัดแบตเตอรี่หลังหมดอายุ
เทคโนโลยี – ต้องจัดการคาร์บอนจากศูนย์ข้อมูล (Data Center) และซากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ผ่านแนวคิด Circular Design และการใช้พลังงานหมุนเวียน
บทสรุป: โลกเปลี่ยนเร็ว ธุรกิจต้องเร็วกว่านั้น
เมื่อกติกาโลกเข้มข้นขึ้นและภัยภูมิอากาศใกล้ตัวขึ้นทุกวัน การบริหาร Scope 3 ไม่ใช่เพียง ‘ทางเลือกเพื่อความยั่งยืน’ แต่คือ ‘ยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอด’
องค์กรที่เริ่มต้นประเมินและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยคาร์บอนของตนเองตั้งแต่วันนี้ จะไม่เพียงลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและต้นทุนในอนาคต แต่ยังได้เปรียบในโลกการค้าและการลงทุนที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
อ้างอิง: