×

SCG วางเป้ายอดขายปีนี้เติบโต 10% รับกังวลต้นทุนสินค้าและต้นทุนทางการเงินเพิ่ม อาจกดดันให้ต้องขึ้นราคาสินค้า

27.01.2022
  • LOADING...
SCG

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี กำหนดเป้าหมายการเติบโตของยอดขายรวมปี 2565 ในอัตรา 10% จากปีที่แล้วที่มียอดขาย 5.3 แสนล้านบาท ขณะเดียวกัน ยอมรับว่ามีแผนจะปรับราคาสินค้าขึ้นตามราคาของตลาดโลก หลังจากต้นทุนทางการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบจากการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ขณะที่ความต้องการของสินค้าก็ฟื้นตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจ

 

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมปี 2565 จะเติบโต10% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มียอดขาย 530,112 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะปรับราคาสินค้าขึ้นตามราคาของตลาดโลก หลังจากต้นทุนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม SCG จะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุน เช่น การใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้วัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ ลดการใช้วัตถุดิบที่ไม่จำเป็น ควบคู่ไปกับการพิจารณาปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ ทั้งนี้เพื่อให้กระทบต่อผู้บริโภคน้อยที่สุด 

 

ปี 2565 SCG ได้วางงบลงทุนจำนวน 8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 40% จะใช้ในส่วนของโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP 1) ประเทศเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้วราว 90% คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิต (COD) ได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 รวมถึงอยู่ระหว่างศึกษาขยาย LSP 2 ด้วย ขณะที่อีก 60% ของงบลงทุนที่จัดสรรไว้นั้น จะใช้สำหรับสนับสนุนการเติบโตแบบ Organic และ Inorganic ของกลุ่มธุรกิจตามแผนที่วางไว้ 

 

แผนการลงทุนในต่างประเทศของกลุ่ม SCG ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับโอกาสทางธุรกิจ โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ผ่านมาได้มีการขยับการลงทุนเข้าไปในประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างแพลตฟอร์มด้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในภูมิภาคอาเซียน

 

ส่วนด้านโลจิสติกส์ ก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการเพิ่มในประเทศฟิลิปปินส์ จากเดิมที่ดำเนินการอยู่ในไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ขณะที่ธุรกิจแพ็กเกจจิ้งก็มีการลงทุนต่อเนื่อง เช่น โรงกระดาษบรรจุภัณฑ์ ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม 

 

ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ (26 มกราคม) ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ดำเนินการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแบบไฟลิ่ง เพื่อยื่นขออนุญาตต่อสำนักงาน ก.ล.ต. 

 

“SCGC เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่สนับสนุนให้เครือ SCG เติบโตอย่างมั่นคง โดยในปี 2564 ที่ผ่าานมา SCGC สร้างรายได้ให้กับ SCG ในสัดส่วน 45% ของรายได้รวม และสร้างกำไร 61% ของกำไรสุทธิรวม การที่ SCGC จะไประดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็เพื่อสร้างการเติบโตเพิ่มขึ้น เหมือนที่ SCGP ได้เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในเดือนตุลาคม 2563 และการขายหุ้น IPO ของ SCGC ก็จะมีจัดสรรหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ SCG ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรด้วย” รุ่งโรจน์กล่าว 

 

ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2564 SCGC มีสินทรัพย์รวมประมาณ 3.77 แสนล้านบาท โดย 52% ของสินทรัพย์รวมเป็นสินทรัพย์ในอาเซียน

 

ด้านผลการดำเนินการปี 2564 มีรายได้จากการขาย 530,112 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อน สาเหตุจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในทุกธุรกิจ ส่วนใหญ่จากราคาและปริมาณขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไร 47,174 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจเคมิคอลส์ ทั้งนี้กำไรจากดำเนินงานปกติ (Normalized Profit) เท่ากับ 48,979 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากปีก่อน

 

โดย SCG มียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services: HVA) ปี 2564 อยู่ที่ 182,510 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของยอดขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development: NPD) คิดเป็น 15% และ Service Solution คิดเป็น 5% ของยอดขายรวม

 

คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2564 ในอัตรา 10.0 บาทต่อหุ้น (คิดเป็น 79% ของกำไรครึ่งปีหลัง) กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date)ในวันที่ 8 เมษายน 2565 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 7 เมษายน 2565 กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 เมษายน 2565 

 

โดยทั้งปี 2564 บริษัทจะจ่ายเงินปันผลรวมทั้งสิ้นในอัตรา 18.5 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 22,200 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับครึ่งปีแรกอัตรา 8.5 บาทต่อหุ้น และเงินปันผลสำหรับครึ่งปีหลังอัตรา 10.0 บาทต่อหุ้น ขณะที่ในปี 2563 SCG จ่ายเงินปันผลรวมทั้งสิ้นในอัตรา 14.0 บาทต่อหุ้น

 

ทางด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น SCC วันนี้ ปิดการซื้อขายช่วงเช้าที่ 385 บาท เพิ่ม 3 บาท หรือเพิ่มขึ้น 0.79% สวนทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลง 17.69 จุด ปิดการซื้อขายช่วงเช้าที่ระดับ 1,625.75 จุด

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising