บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี ลดงบลงทุนปี 2565 เหลือ 70,000 ล้านบาท จากเดิมที่กำหนดไว้ 80,000 ล้านบาท หลังจากจัดลำดับความสำคัญโครงการ พร้อมเผยกำไรไตรมาส 2 ปีนี้อยู่ที่ 9,937.63 ล้านบาท ลดลง 42% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักมาจากต้นทุนเพิ่มขึ้น ขณะที่บอร์ดพิจารณาจ่ายปันผลระหว่างกาล 6 บาทต่อหุ้น
เอสซีจีรายงานตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทได้ปรับลดประมาณการรายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนในปี 2565 ลดลงเหลือ 70,000 ล้านบาท จากเดิม 80,00 ล้านบาทที่ได้ประมาณการก่อนหน้า เนื่องจากมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุน
ทั้งนี้ รายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีมูลค่าเท่ากับ 22,445 ล้านบาท โดยสัดส่วนการลงทุนเป็นของธุรกิจเคมิคอลส์ 58%, ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 23%, ธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง 14% และส่วนงานอื่น 5% โดยรายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนส่วนใหญ่ใช้สำหรับโครงการปิโตรเคมีครบวงจรของ LSP
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2665 EBITDA เท่ากับ 42,468 ล้านบาท ในขณะที่มีกระแสเงินสดจ่ายทั้งสิ้น 44,762 ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายลงทุนและเงินลงทุน 22,445 ล้านบาท, จ่ายเงินปันผล 13,932 ล้านบาท, จ่ายดอกเบี้ย 4,377 ล้านบาท และจ่ายภาษีเงินได้ 4,008 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน เอสซีจีรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/65 มีกำไรสุทธิ 9,937.63 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.28 บาทต่อหุ้น ลดลง 7,198.6 ล้านบาท หรือ 42% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 17,136.23 ล้านบาท หรือคิดเป็น 14.28 บาทต่อหุ้น โดยมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 14% มาจากทุกกลุ่มธุรกิจ เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาด แต่ EBITDA ลดลง 22% ส่วนใหญ่จากต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งส่วนแบ่งกําไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจเคมิคอลส์ลดลง
อย่างไรก็ตาม กำไรไตรมาส 2 ปีนี้สูงกว่าไตรมาสก่อนประมาณ 12% มีรายได้จากการขายจำนวน 152,534 ล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาสก่อน ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและธุรกิจแพ็กเกจจิ้งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้จากการขายลดลงเล็กน้อย โดยมี EBITDA 24,846 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% เนื่องจากรับเงินปันผลจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (ธุรกิจยานยนต์)
ส่วนผลงานรวม 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 18,781.14 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.65 บาท ลดลง 13,269 ล้านบาท หรือประมาณ 41% เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่กำไรสุทธิ 32,050.19 ล้านบาท หรือคิดเป็น 26.71 บาทต่อหุ้น และมีรายได้จากการขาย 305,028 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% มาจากทุกกลุ่มธุรกิจ จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาด
อย่างไรก็ตาม EBITDA ลดลง 24% มาอยู่ที 42,468 ล้านบาท ผลจากการปรับตัวสูงขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบตามราคาน้ำมัน และส่วนแบ่งกําไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจเคมิคอลส์ที่ลดลง ประกอบกับในปีนี้ไม่ได้เกิดเหตุการณ์วิกฤตฤดูหนาวที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของปี 2565 อัตราหุ้นละ 6 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 7,200 ล้านบาท คิดเป็น 38% ของกำไร ให้ผู้มีสิทธิ์ได้รับปันผลวันที่ 11 สิงหาคม 2565 กำหนดขึ้น XD วันที่ 10 สิงหาคม 2565 และจ่ายเงินวันที่ 26 สิงหาคม 2565 คิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 1.62% เทียบกับราคาหุ้นปิด 370 บาท