×

SCB CIO คาด การเลือกตั้งอินเดียระยะสั้น เสี่ยงทำตลาดหุ้นผันผวนหนัก คาดพรรค BJP คว้าชัยเป็นรัฐบาลสมัยที่ 3

09.05.2024
  • LOADING...
SCB CIO

SCB CIO จับตาเลือกตั้งอินเดีย คาดพรรค BJP ชนะการเลือกตั้งได้บริหารประเทศต่อ 3 สมัยติด คาดระยะสั้นหุ้นอินเดียอาจผันผวนหนัก ชี้ไม่ใช่จังหวะเทรดดิ้ง แต่มองเป็นจังหวะทยอยสะสมรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว  

 

สกลฉัฐฐ์ เชาวน์เลิศเสรี, CFA นักวิเคราะห์การลงทุน SCB Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB CIO) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า การเลือกตั้งในประเทศอินเดียที่เกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน – 1 มิถุนายนนี้ จากผลโพลที่ออกมาล่าสุด รวมถึงมีการคาดการณ์ผลการเลือกตั้งที่จะออกมา คาดว่าพรรค BJP ของ นเรนทรา โมดี ซึ่งปัจจุบันเป็นนายกรัฐมนตรีอินเดีย น่าจะสามารถชนะการเลือกตั้งได้ครองที่นั่งในสภาด้วยจำนวน 323 ที่นั่ง ซึ่งสูงกว่าการเลือกตั้ง 2 ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ซึ่งพรรค BJP เคยชนะการเลือกตั้งมา จากจำนวนที่นั่งทั้งหมดในสภาที่มีจำนวน 376 ที่นั่ง โดยในการเลือกตั้งปี 2024 คาดการณ์ว่าจำนวนที่นั่งในสภาของพรรคร่วมรัฐบาล รวมของพรรค BJP คาดว่าจะได้ครองเสียงในสภารวมเป็นจำนวน 377 ที่นั่ง

 

สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในช่วงของการเลือกตั้งประเมินว่า จากสถิติในช่วงที่มีการเลือกตั้งของอินเดียช่วง 7-8 ครั้งล่าสุดพบว่า ในช่วงประมาณ 1-6 เดือนก่อนการเลือกตั้งตลาดหุ้นอินเดีย มักจะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่เป็นบวก 

 

อย่างไรก็ดีจากสถิติดังกล่าวพบว่า ทั้งในช่วงก่อนกับหลังจากทราบผลการเลือกตั้งประมาณ 1 เดือน ตลาดหุ้นอินเดียจะมีการเคลื่อนไหวที่ผันผวนสูง หลังจากนั้นตลาดหุ้นอินเดียก็จะกลับมาให้ผลตอบแทนการลงทุนที่เป็นบวกในช่วงระยะ 3-6 เดือนหลังทราบผลการเลือกตั้งไปแล้ว 

 

หุ้นอินเดียแชมป์รีเทิร์นเบอร์ 1 ของโลก

 

ขณะที่ภาพการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอินเดียในปี 2024 ช่วงต้นปีถึงปัจจุบัน (Year to Date) ถือเป็นตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดเป็นอัน 1 ในปีนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีตลาดหลัก MSCI โดยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 9% แต่หากแยกดูเฉพาะ Nifty Index จะมีผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 4% โดยในไตรมาส 1/24 มีปัจจัยสนับสนุนผลักดันตลาดหุ้นอินเดียให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจะถูกขับเคลื่อนด้วยกลุ่มหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่อย่าง Nifty Large Cap ขณะที่ในช่วงไตรมาส 2/24 ตลาดหุ้นอินเดียจะถูกผลักดันด้วยกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก อย่าง NSE Smallcap สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงประมาณ 11%

 

ทั้งนี้ เมื่อมองไปข้างหน้า ตลาดมีความคาดหวังว่าพรรคที่จะชนะการเลือกตั้งจะเป็นพรรคเดิม จึงมองว่านโยบายในการบริหารประเทศจะยังคงต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดหุ้นจะไม่เคลื่อนไหวตอบสนองในเชิงบวก เพราะตลาดหุ้นได้มีการรับรู้ข้อมูลดังกล่าวไปล่วงหน้าในราคาหุ้นแล้ว

 

อย่างไรก็ดีมีความคาดหวังจากผลการเลือกตั้งของอินเดียในปี 2024 หลังจากผลการเลือกตั้งในช่วงครั้งล่าสุดที่ผ่านมา โดยหากพรรค BJP กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลในสมัยที่ 3 ในการบริหารประเทศอินเดีย คาดว่ารัฐบาลชุดนี้น่าจะมีนโยบายการลงทุนที่ต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริโภคภายในของอินเดีย รวมถึงทำให้ประชาชนมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ช่วยสนับสนุนการบริโภคภายในอินเดียให้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเนื่องให้ระดับราคาสินค้าปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย 

 

ดังนั้นถือเป็นวัฏจักรของเศรษฐกิจอินเดียที่เดินหน้าต่อเนื่องได้ค่อนข้างดีในระยะยาว โดยภาพการลงทุนของอินเดียในส่วนของภาคการผลิต เรื่องของความสามารถในการแข่งขันของค่าแรง จากข้อมูลปี 2023 พบว่า เปรียบเทียบกับค่าแรงของประเทศในภูมิภาคเอเชียทั้งหมดถือว่าอินเดียมีค่าแรงที่ต่ำที่สุด จึงมีความสามารถในการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงมาก 

 

นอกจากนี้ GDP Per Capita ของประเทศอินเดีย ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2,500 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี เปรียบเทียบกับประเทศไทยอยู่ที่ระดับประมาณ 6,500 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี ดังนั้นหากมีการลงทุนของอุตสาหกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นในอินเดีย จะส่งผลให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยบวกให้รายได้ของประชากรต่อหัวของอินเดียปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มแรงงานสัดส่วนประมาณ 50% ของอินเดียอยู่ในภาคอุตสาหกรรมการเกษตร ส่งผลให้มีการผลิตที่สร้างมูลค่าได้ค่อนข้างต่ำ หรือมีสัดส่วนประมาณ 15% ของ GDP อินเดีย 

 

คาดช่วง 5 ปี GDP อินเดียแรง 6.1% ต่อปี

 

ทั้งนี้ ในวาระที่ 3 ของพรรค BJP จะมีนโยบายในการจัดสรรแรงงานใหม่ เพื่อรองรับการขยายการเติบโตและการลงทุนของอุตสาหกรรมลงทุนใหม่ๆ เช่น กลุ่ม Semiconductor หลังจากในช่วงวาระ 2 ของการเป็นรัฐบาลของพรรค BJP ช่วงปี 2018-2023 เป็นช่วงของการเร่งลงทุนของรัฐบาลในระบบโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเป็นหัวหอกในการลงทุนสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจให้กับภาคเอกชน หลังจากตัวเลขการลงทุนของรัฐบาลรวมกับเอกชนของอินเดียลงไปทำจุดต่ำสุดในช่วงโควิดแพร่ระบาด ปัจจุบันเริ่มทยอยฟื้นตัวอีกขึ้น รวมถึงมีการวางนโยบายเพื่อดึงดูดให้นักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ รวมทั้งส่งเสริมการส่งออกภาค Service ไปต่างประเทศ 

 

อีกทั้งอินเดียได้รับปัจจัยบวกจากนโยบาย China Plus One ของจีน ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตต้องมีการกระจายฐานการผลิตออกจากจีนไปสู่ประเทศอื่นๆ 

 

ดังนั้นประเมินว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลที่มีพรรค BJP เป็นแกนนำรัฐบาล จะส่งผลดีต่อ GDP ของอินเดียให้มีโอกาสที่จะเติบโตในระดับที่สูงในระยะ 5 ปีข้างหน้า อีกทั้งจะมีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอยู่ที่ประมาณ 6.1% ต่อปี

 

 แนะจับจังหวะลงทุนหุ้นอินเดีย

 

สกลฉัฐฐ์กล่าวต่อถึงภาพการลงทุนในอินเดีย ขณะนี้มองว่านักลงทุนไม่ได้เซอร์ไพรส์จากผลการเลือกตั้งของอินเดีย สะท้อนจาก Valuation ปัจจุบันที่ตลาดหุ้นอินเดียมีค่า Forward P/E อยู่ที่ระดับ 22.5 เท่า สะท้อนข่าวดีและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง รวมถึงกำไรของตลาดหุ้นอินเดียที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคตไปแล้ว ทั้งมีคำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย แบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้

 

กรณีแรกกลุ่มนักลงทุนเทรดดิ้งระยะสั้น แนะนำว่าภาวะปัจจุบันยังไม่ใช่จังหวะในการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย เพราะในช่วง 1 เดือนหลังเลือกตั้งจะเห็นภาพการเคลื่อนไหวที่ผันผวนสูงมาก 

 

กรณีสองสำหรับกลุ่มนักลงทุนระยะยาว หรือนักลงทุน DCA ถือเป็นโอกาสในการลงทุนจากโอกาสของการเติบโตของเศรษฐกิจระยะยาวของอินเดียที่มีสูง จึงแนะนำให้เป็นจังหวะในการทยอยสะสม โดยเฉพาะช่วงของการเลือกตั้งที่มีการปรับฐาน

 

ทั้งนี้ แม้ในบางจังหวะในระยะสั้นอาจเห็นการปรับฐานตลาดหุ้นอินเดีย รวมถึงกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่ประมาณ 10-15% ถือเป็นเรื่องปกติ ขณะที่ในระยะยาวการลงทุนที่สามารถคาดหวังผลตอบแทนได้ในระดับประมาณ 8-10% ต่อปีในระยะยาว

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising