×

SCB CIO คาด Fed ประชุมต้นเดือน พ.ย. นี้ หยุดขึ้นดอกเบี้ย จับตาสงครามอิสราเอล-ฮามาส หวั่นยกระดับลุกลาม ดันราคาน้ำมันพุ่ง

19.10.2023
  • LOADING...
กำพล อดิเรกสมบัติ

SCB CIO แนะจับตาสงครามอิสราเอล-ฮามาส กังวลเกิดกรณีเลวร้ายที่สุด อิสราเอลเปิดฉากทำสงครามกับประเทศโดยรอบ อิหร่านเข้ามาร่วมวง ดันราคาน้ำมัน-เงินเฟ้อพุ่ง พร้อมปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เป็น Slightly Positive หลังมองเศรษฐกิจแกร่งสุด

 

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านรายการ Morning Wealth ว่า สถานการณ์สงครามการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสมีประเด็นความเสี่ยงที่ต้องติดตามต่อ กล่าวคือหากกลุ่มประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันในตะวันออกกลางมีการคว่ำบาตร ไม่ส่งออกน้ำมัน หรือห้ามนำเข้าน้ำมันจากกลุ่มประเทศภายนอกที่ส่งออกมาจากตะวันออกกลาง จะเป็นประเด็นที่มีผลกระทบต่อเนื่องมาจากภาพเศรษฐกิจและการลงทุน 

 

“ยังถือเป็นประเด็นสำคัญที่ยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป เพราะสถานการณ์ขณะนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง และยังคาดเดาสถานการณ์ในระยะข้างหน้าได้ยาก”

 

จากประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละฉากทัศน์ พบว่าการสู้รบยังกระจุกตัวจำกัดอยู่ในพื้นที่อิสราเอลกับปาเลสไตน์เป็นหลัก โดยกรณีพื้นฐานเป็นกรณีที่ 1 จะมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกให้ปรับขึ้นบ้างจากความกังวลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้นได้บ้าง

 

ส่วนกรณีที่ 2 หากเกิดกรณีเลวร้าย สงครามมีการขยายวงลุกลามไปยังประเทศใกล้เคียง เช่น ซีเรีย เลบานอน และมีผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมัน ก็จะมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ในกรณีนี้ก็จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อมากกว่ากรณีพื้นฐาน

 

ขณะที่กรณีที่ 3 หากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุด หากอิสราเอลเปิดฉากทำสงครามกับประเทศโดยรอบ และอิหร่านเข้ามาร่วมสงครามจนมีการคว่ำบาตร รวมถึงจำกัดการส่งออกและนำเข้าน้ำมัน จะเป็นปัจจัยกดดันให้เศรษฐกิจถูกกระทบอย่างรุนแรง อีกทั้งเงินเฟ้อมีโอกาสเร่งตัวขึ้นได้มากจากการเกิด Cost-Push Inflation จากปัญหาอุปทานน้ำมัน จึงมีความเสี่ยงที่จะเห็นเศรษฐกิจโลกเข้าภาวะถดถอย (Recession) รุนแรง Hard Landing โดยประเมินสถานการณ์สงครามขณะนี้ยังอยู่กึ่งกลางระหว่างกรณีที่ 1 กับ 2 หลังเริ่มเห็นการยกระดับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น

 

คาด Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ยหลังภาวะการเงินตึงตัว 

 

สำหรับการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ช่วงวันที่ 31 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายนนี้ ประเมินว่าหลังจากประธานของ Fed แต่ละสาขาออกมาส่งสัญญาณหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาในระดับมากกว่า 4% ส่งผลกระทบให้ภาวะการเงินตึงตัว ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยลดลง หรือไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกจากปัจจุบัน ดังนั้นจึงคาดว่าดอกเบี้ยของ Fed ได้จบรอบในการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว หรือจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ แต่หาก Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ก็คาดว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของรอบนี้ แต่ประเมินว่ามีโอกาสเกิดขึ้นไม่มาก

 

อย่างไรก็ดี จากหลายปัจจัยความไม่แน่นอนที่ยังคงมี และจะมีผลกระทบต่อการลงทุน ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนต่อเนื่องไปถึงปี 2567 ยังคงต้องเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง ทั้งในหุ้นและพันธบัตร เช่น หุ้นกู้คุณภาพสูง Investment Grade รวมถึงพิจารณาทยอยสะสมในหุ้นคุณภาพสูงในช่วงที่ราคาปรับฐานลงจนมี Margin of Safety ที่เหมาะสม คือตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันมี P/E Multiples อยู่ที่ประมาณ 17.8-20 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจ 

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ถือว่ามีความแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) อื่นๆ ขณะที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของสหรัฐฯ สามารถบริหารจัดการควบคุมต้นทุน และสามารถทำอัตรากำไรได้ในระดับที่ดีท่ามกลางเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับที่สูง หลัง บจ. ใน S&P 500 มีอัตราการเติบโตของกำไรติดลบมาต่อเนื่อง 2-3 ไตรมาสที่ผ่านมา แต่คาดว่าในไตรมาส 3/66 นี้กำไรจะเริ่มกลับมามีการเติบโตเป็นบวก และสามารถรักษาการเติบโตของกำไรต่อเนื่องไปได้อีกในช่วง 3-4 ไตรมาสข้างหน้าด้วย ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุหลักที่ล่าสุด SCB CIO ปรับคำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากเดิมที่ Neutral มาเป็น Slightly Positive โดยให้ทยอยซื้อสะสม

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising