×

SCB CIO แนะ ทยอยสะสมหุ้นอินเดียมีแนวโน้มสดใส รับเศรษฐกิจ 10 ปีข้างหน้าคาดโตแรง 6-7% ต่อปี แซงหน้าญี่ปุ่น-เยอรมนีภายในปี 2030

22.11.2023
  • LOADING...
SCB CIO

SCB CIO มองตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มสดใส คาดเศรษฐกิจ 10 ปีต่อจากนี้มีโอกาสจะเติบโตในระดับ 6-7% ต่อปี โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก แนะนำให้ทยอยเข้าสะสมหุ้นอินเดีย เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค

 

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ  ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO มองว่า ตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มสดใส เนื่องจากขนาดเศรษฐกิจอินเดียในช่วง 10 ปีต่อจากนี้จะเติบโต 6-7% ต่อปี ทำให้เศรษฐกิจอินเดียมีโอกาสแซงหน้าประเทศญี่ปุ่นและเยอรมนีภายในปี 2030 ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียมาจากภายในประเทศเป็นหลัก ทั้งจากแรงหนุนภาครัฐ ภาคเอกชน และการบริโภคของประชากร  

 

“รัฐบาลอินเดียได้มีการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา จึงนำไปสู่วงจรการลงทุนรอบใหม่ทั้งจากฝั่งรัฐบาลและภาคเอกชน ขณะที่การบริโภคได้แรงหนุนจากการขยายตัวของประชากร ทั้งด้านจำนวนประชากรวัยทำงานที่ยังอยู่ในระยะขยายตัว รายได้ต่อหัวที่เพิ่มสูงขึ้น และการขยายตัวของเมือง (Urbanization)

 

นอกจากนี้ยังมีประเด็นการฟื้นตัวที่เด่นชัดของวัฏจักรความต้องการที่อยู่อาศัย ความแข็งแกร่งของงบดุลภาคธนาคารและภาคครัวเรือน เป็นฐานสำคัญสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อ อีกทั้งมีปัจจัยจากการเมืองอินเดียที่คาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้งมาสนับสนุนการบริโภคด้วย” ดร.กำพล กล่าว

 

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นอินเดียมีมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ประมาณ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก กำลังได้แรงหนุนจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนลดหย่อนภาษีจากรัฐบาล โดยดัชนีหลักที่นักลงทุนติดตาม ได้แก่ Nifty 50 และ Sensex ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือ กลุ่มการเงิน ตามด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและพลังงาน ขณะที่ปัจจุบัน Fund Flow ของนักลงทุนภายในประเทศเริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้น หลังรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ภาคครัวเรือนเก็บออมเพื่อการเกษียณผ่านกองทุน Systematic Investment Plans หรือ (SIPs) ซึ่งเป็นการลงทุนที่ลดหย่อนภาษีได้ และมีระบบช่วยในการลงทุนเป็นประจำรายเดือนจากความน่าสนใจของตลาดหุ้นอินเดีย 

 

ทำให้เรามีมุมมอง Slightly Positive หรือแนะนำให้ทยอยลงทุนได้สำหรับตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค และผลบวกจาก Election Rally เราเชื่อว่ารัฐบาลจะมีมาตรการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคในช่วงก่อนการเลือกตั้งรัฐบาลรอบเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2024 

 

ขณะที่แรงกดดันของ Fund Flow ไหลออกเริ่มลดลง หลังจากตลาดมีมุมมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และมีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงกลางปีหน้า 

 

นอกจากนี้การที่พันธบัตรประเทศอินเดียจะถูกรวมเข้าคำนวณในดัชนี JP Morgan Local Government Bond index (GBI-EM GD) ในช่วงระยะเวลา 10 เดือนนับตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2024 เป็นต้นไป จะช่วยเพิ่มเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนอินเดียและลดความเสี่ยงของ Fund Flow ไหลออกในอนาคต 

 

ในส่วนของตลาดหุ้น ดัชนี MSCI ได้เพิ่มน้ำหนักหุ้นอินเดียในดัชนี MSCI Emerging Market จาก 15.9% สู่ระดับ 16.3% ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจการลงทุนในหุ้นอินเดียต่อนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนและ ETF ที่มีกลยุทธ์แบบ Passive Investment

 

และคาดว่าจะมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มเติมอีก 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหลังจากการปรับปรุงน้ำหนัก ขณะที่เงินเฟ้อชะลอความร้อนแรงลง โดยอัตราเงินเฟ้อเคยอยู่สูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2023 ที่ 7.4%YoY และได้ลดลงสู่ระดับ 4.8%YoY ในเดือนตุลาคม 2023 และมีแนวโน้มลดลงต่อ ทำให้มีโอกาสที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ 25 bps ในปี 2024 

 

ตลาดหุ้นอินเดียถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก เหมาะกับการลงทุนในช่วงที่ความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่สูงขึ้น ตลาดหุ้นอินเดียยังมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากโครงสร้างประชากรที่ดี มีความพร้อมทางด้านกฎระเบียบและนโยบายรัฐที่สนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน หนี้ครัวเรือน หนี้ของธุรกิจเอกชน และหนี้เสียของธนาคารที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งการฟื้นตัวของเครื่องจักรเศรษฐกิจที่สำคัญ อย่างเช่น ธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคอุตสาหกรรมการผลิต จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสนับสนุนการเติบโตในช่วงถัดไป

 

นอกจากนี้ Valuation ของดัชนี Nifty 50 อยู่ที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีบนมาตรวัดทั้งในเชิงของ 12-Month Forward Price-to-Earnings และ 12-Month Forward Price-to-Book จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์สำนักต่างๆ โดยเฉลี่ยมองว่า Forward EPS หรือกำไรต่อหุ้นในอนาคตปี 2024-2025 อยู่ในระดับ 14-18% (ในขณะที่กำไรงวด 9 เดือน ปี 2023 เติบโตกว่า 12.5%YOY) 

 

Forward ROE หรือผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นในอนาคต อยู่ในระดับ 14-16% ซึ่งเรามองว่า ROE มีโอกาสขยายตัวได้อีกตามการฟื้นตัวจากภาวะการปรับโครงสร้างของหนี้ในระบบ (Deleveraging) ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา และเครื่องจักรเศรษฐกิจ (ภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคการเงินและการธนาคาร และภาคการผลิต) ที่หยุดปรับปรุงระบบไปนาน กลับมาดำเนินงานได้อีกครั้งด้วยฐานใหม่ที่มั่นคง เรามองว่ามีโอกาสเห็นการขยายตัวของ ROE ที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ย 20 ปีที่ 17% (ปีงบประมาณ 2023 อยู่ที่ 15%) และอาจกลับไปอยู่ใน Zone ขยายตัวที่ 18-26% เช่นครั้งในอดีต 

 

ทั้งนี้ นับแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) ดัชนี Nifty 50 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.5% และ Sensex ปรับเพิ่มขึ้น 8.6%

 

ขณะที่ความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียที่นักลงทุนต้องพิจารณา ได้แก่ ความผันผวนของค่าเงินอินเดียรูปี ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 2003 จนถึงปัจจุบัน ลดลงไปกว่า 45% มีผลต่อการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 

 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีความพยายามจำกัดความเสี่ยงจากค่าเงินด้วยการเพิ่มทุนสำรอง รวมทั้งหันไปนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย โดยซื้อ-ขายด้วยสกุลเงินอินเดียรูปีแทนดอลลาร์สหรัฐ ส่วนประเด็นความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเรามองว่ามีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะถัดไป

 

ขนาดเศรษฐกิจอินเดียจะแซงหน้าญี่ปุ่นและเยอรมนีในปี 2030

https://drive.google.com/file/d/1hSP3s0HIY5fB38uvWNnj68Lv8yJCrv_P/view?usp=drive_link

อ้างอิง: IMF และ SCB CIO

 

มูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) ของตลาดหุ้นรายประเทศ

https://drive.google.com/file/d/19b9qIYzYL1aSxtB139yreqsinMGSEJXL/view?usp=drive_link

อ้างอิง: Bloomberg ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2023 และ SCB CIO

 

ROE อินเดียสูงที่สุดใน Asia Pacific x Japan ในปี 2024 และปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 20 ปี

https://drive.google.com/file/d/11YnjyJiHwA8DSRIWMnOWlWW-nwpIcDCR/view?usp=drive_link

https://drive.google.com/file/d/1p_dLvezdvAMdqjD8Eyo9ebXxOSTEsJ76/view?usp=drive_link

อ้างอิง: Bloomberg ข้อมูล ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2023 และ SCB CIO

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising