×
SCB Index Fund 2024
SCB Omnibus Fund 2024

SCB CIO แนะปรับกลยุทธ์ลงทุน ชูกลุ่ม Healthcare หลบภัยช่วงโควิด ‘โอไมครอน’ แพร่ระบาด

03.12.2021
  • LOADING...
SCB CIO

SCB CIO แนะปรับกลยุทธ์การลงทุน หาจังหวะเข้ากลุ่ม Healthcare และกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากธีม Work from Home เช่น Technology รวมทั้งกลุ่มภูมิภาคที่มีความเสี่ยงเรื่องโควิดน้อยกว่าประเทศอื่น ส่วนกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเปิดประเทศ ท่องเที่ยว โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ หุ้นอินเดีย ซึ่งเสี่ยงต่อการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งกลุ่มน้ำมัน เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างมาก 

 

ศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO) กล่าวว่า ไวรัสกลายพันธุ์โอไมครอน เป็นสิ่งยืนยันความจริงที่ว่า โควิดจะยังอยู่กับพวกเราไปอีกนาน และมีความเป็นไปได้ที่จะมีไวรัสกลายพันธุ์อื่นๆ เกิดขึ้นในอนาคตต่อไป ดังเช่นสายพันธุ์ที่พบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คืออัลฟาและเดลตา ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกันกับสถานการณ์การระบาดของโควิด และมีการเตรียมความพร้อมเพื่อปรับพอร์ตการลงทุนให้รองรับกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้นได้เสมอ

 

ทั้งนี้ คาดว่าตลาดการลงทุนในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้า ยังมีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากความเสี่ยงเรื่องไวรัสกลายพันธุ์ โดยเฉพาะในระหว่างที่กำลังรอผลการศึกษาของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนหลายแห่งว่า วัคชีนที่ใช้กันในปัจจุบันจะยังมีประสิทธิภาพในการต่อต้านไวรัสกลายพันธุ์โอไมครอนได้หรือไม่ และความรุนแรงของผู้ป่วยจะมากหรือน้อยกว่าไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ ที่มีการแพร่ระบาดก่อนหน้านี้ 

 

ขณะที่ประเด็นในเชิงลบจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสไปยังประเทศต่างๆ ในช่วงสองสัปดาห์ต่อจากนี้ ถึงแม้ว่าหลายประเทศจะมีการออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดได้อย่างรวดเร็วก็ตาม แต่ความกังวลก็ยังคงมีอยู่ จากการที่ไวรัสกลายพันธุ์นี้มีแนวโน้มที่จะติดต่อกันได้ง่ายกว่าไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ

 

ปัจจุบันนักลงทุนจะยังคงมีความกังวลต่อประเด็นการพบผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนที่เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นตื่นตระหนก (Panic) จนเกินไป เนื่องจากข้อมูลความรู้ในประเด็นนี้ยังมีไม่มากเท่าไรนัก โดยตลาดจะมีการคาดการณ์ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ จนกว่าตลาดจะได้รับการยืนยันจากบริษัทผู้ผลิตวัคซีนในสองสัปดาห์ข้างหน้า ดังนั้นตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปัจจุบันมี Valuation ค่อนข้างแพง และอยู่ในช่วงใกล้ปลายปีที่กิจกรรมการซื้อขาย (Trading Activity) จะลดลงอยู่แล้ว ประกอบกับเข้าใกล้เทศกาลวันหยุด จึงมีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ (Sideway) และจะได้รับแรงกดดันเรื่อง Downside มากกว่า Upside โอกาสที่ตลาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงจึงเป็นไปได้อย่างจำกัด

 

SCB CIO ประเมินสมมติฐาน เพื่อใช้ในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุน เพื่อเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์นี้เป็น 2 กรณี ดังนี้

 

  1. กรณีเลวร้าย (Worst Case) เกิดขึ้นในกรณีที่ หากผลการศึกษาพบว่า วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนได้ ทำให้เกิดการติดเชื้อโควิดซ้ำในคนที่ได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 โดสแล้วในวงกว้างได้ นั่นหมายความว่า การฉีดวัคซีนทั่วโลกจะต้องเริ่มต้นกันใหม่หรือไม่ แม้ว่าจะไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด เพราะวัคซีนที่ประชากรโลกได้รับไปแล้วสามารถลดอัตราการเสียชีวิต หรือหลีกเลี่ยงจากอาการป่วยหนักได้ แต่ไม่สามารถป้องกันการกลับมาติดเชื้ออีกครั้ง ส่งผลให้ประเทศต่างๆ จะกลับมาดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่กระจายไวรัสกันอีกรอบ เช่น Social Distancing แบบเข้มข้น การปิดประเทศเป็นบางส่วน (Partial Lockdown) โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรง หรือกำลังความสามารถในการรับมือด้านสาธารณสุขไม่เพียงพอ โดยการพัฒนาและการระดมการฉีดวัคซีนใหม่จะรวดเร็วมากขึ้นกว่าครั้งที่ผ่านมา เพราะเป็นการพัฒนาต่อยอดของวัคซีนในรุ่นปัจจุบัน และระบบสาธารณสุขมีความชำนาญในการแจกจ่ายวัคซีนในวงกว้างแล้ว ซึ่ง SCB CIO ประมินว่า น่าจะใช้ระยะเวลารวมทั้งสิ้น 145 วัน โดยใช้ระยะเวลา 45 วันในการพัฒนาวัคซีน และใช้ระยะเวลา 100 วันในการกระจาย และฉีดวัคซีนใหม่ให้อยู่ในระดับที่ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้

 

กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบอีกรอบ โดยเฉพาะในภาคบริการ เช่น ร้านอาหาร การท่องเที่ยว การเดินทาง เป็นต้น ห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) จะกลับมาถูกกระทบอีกครั้ง เพราะการปรับโครงสร้าง Supply Chain ของประเทศต่างต้องใช้เวลา ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อน่าจะปรับตัวลดลงได้ จากอุปสงค์ในภาคการบริโภคที่หดตัว และราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลง แม้ว่า Supply Disruption จะทำให้ราคาสินค้าบางประเภทปรับเพิ่มขึ้น แต่ปัจจัยด้านอุปสงค์ที่ชะลอลง จะทำให้ราคาสินค้าลดลงมากกว่า 

 

ในด้านธนาคารกลางของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะปรับท่าที จากการถอนการอัดฉีดสภาพคล่องตามที่ตลาดรับรู้ไปแล้ว กลับมาเป็นความกังวลผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโอไมครอนต่อเศรษฐกิจ และชะลอการถอนการอัดฉีดสภาพคล่อง ในขณะที่มีแนวโน้มที่ดอกเบี้ยจะชะลอระยะเวลาการปรับขึ้นออกไป สำหรับนโยบายการคลังเผชิญข้อจำกัดทางด้านหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น จากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาโควิดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ไม่สามารถกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจได้มากเหมือนเดิม

 

ในกรณี Worst Case นี้ ตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงต่อ โดยเราประเมินว่าจะสามารถลดลงได้ถึง -20% เพราะ Panic Sell อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงจะน้อยกว่าช่วงที่เกิดการระบาดของโควิดครั้งแรกเมื่อปี 2020 ประมาณครึ่งหนึ่ง เพราะ ครั้งนี้ไม่ได้เกิดการปิดเมืองเต็มรูปแบบทั่วโลก (Fully Global Lockdown) และ ทุกประเทศเรียนรู้การรับมือได้ดีมากขึ้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมา

 

  1. กรณีปกติ (Normal Most Likely Case) เกิดขึ้นในกรณีที่วัคซีนยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกัน แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพที่ลดลง และอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มการฉีดเข็มที่สาม Booster Dose ส่งผลให้การระบาดของโอไมครอนจะกระจายไปหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ เพราะประชากรโลกมีการฉีดวัคซีนสองเข็มเป็นจำนวนมากแล้ว (ยกเว้นประเทศในแถบทวีปแอฟริกา) ซึ่งตลาดหุ้นจะถูกแบ่งผลกระทบออกเป็น 2 กลุ่มคือ
    • กลุ่มประเทศที่ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนต่อประชากรเป็นจำนวนมากแล้ว และเป็นประเทศผู้ครอบครองการผลิตวัคซีน ที่หากจำเป็นต้องมีการฉีด Booster Dose และวัคซีนรุ่นใหม่ จะทำได้อย่างรวดเร็วและเพียงพอ เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ดังนั้นตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้บ้าง แม้ว่า Upside จะอยู่ในวงจำกัด เพราะเข้าใกล้ปลายปีที่ Trading Activity จะชะลอตัวลง ตามการเข้าใกล้ช่วงเทศกาลวันหยุด และประเทศจีนที่ดำเนินนโยบาย Zero COVID Prevention อย่างเข้มข้น เช่น ไม่ให้คนจีนเดินทางออกนอกประเทศ และยังไม่เปิดประเทศให้คนต่างชาติเข้าไปด้วยเช่นกัน
    • กลุ่มประเทศที่ไม่มี Technology เรื่องวัคซีนเป็นของตนเอง และต้องรอการนำเข้าเพิ่มเติม โดยเฉพาะวัคซีนสูตรใหม่ จะกระจายและฉีดเข็มกระตุ้น Booster Dose ได้ช้ากว่าประเทศในกลุ่มแรก ทำให้เศรษฐกิจจะถูกผลกระทบมากกว่า จาก Partially Lockdown และการปิดกั้นการเดินทางระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่เงินเฟ้อจะไม่ปรับตัวลดลง และอาจได้รับผลกระทบจากปัญหา Supply Chain ที่ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มมากขึ้นอีก และธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงดำเนินนโยบายปรับลดการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE Tapering) ตามกำหนดเดิม ดังนั้นผลกระทบจากโควิดระบาดรอบนี้ แรงกดดันเงินเฟ้อและนโยบายการถอนสภาพคล่องจะส่งผลกระทบกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา/กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มากกว่า โดยเฉพาะกลุ่ม Emerging Southeast Asia ที่มีการกลับมาเปิดประเทศ (Reopening) เพื่อรับนักท่องเที่ยวกันไปแล้ว ก่อนภูมิภาคอื่นในช่วงที่ผ่านมาอาจจะมีความเสี่ยงสูงจากการแพร่ระบาดของโอไมครอน และการท่องเที่ยวจะยังได้รับผลกระทบต่อเนื่อง ดังนั้นตลาดหุ้นในประเทศกลุ่มนี้จะได้รับแรงกดดันอยู่ต่อไปจนถึงปีหน้า


อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยังมีความไม่แน่นอน และความเสี่ยงในการลงทุนจากตลาดที่มีความผันผวนสูง ทาง SCB CIO จึงแนะนำการลงทุนที่เป็นโอกาส และการลงทุนที่ควรหลีกเลี่ยงดังต่อไปนี้ การหาจังหวะเข้าลงทุน เมื่อตลาดมีการปรับฐานจากความกังวลเรื่องโควิดในช่วงนี้ ได้แก่

  • กลุ่ม Healthcare โดยเฉพาะหุ้น หรือกองทุน Healthcare ที่มีการลงทุนในบริษัทผู้ผลิตวัคซีนและยา ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการป้องกันและรักษาโควิด ที่ยังมีแนวโน้มจะอยู่กับเราไปอีกนาน
  • หุ้นหรือกองทุนในกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากธีม Work from Home เช่น หุ้นกลุ่ม Technology ที่มีลักษณะเป็นหุ้นคุณภาพที่มีโอกาสเติบโตสูง (Quality Growth) ซึ่งการเติบโตของกำไรอยู่ในระดับสูง และที่มาของรายได้มีการกระจายตัวในหลากหลายธุรกิจหลัก ตลอดจนมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ซึ่งส่วนใหญ่คือบริษัทในกลุ่ม Technology ขนาดใหญ่
  • หุ้นหรือกองทุนในกลุ่มภูมิภาคที่จะมีความเสี่ยงเรื่องโควิดต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าประเทศหรือภูมิภาคอื่น เช่น กลุ่มประเทศที่มีการคิดค้น Technology เกี่ยวกับวัคซีนเป็นของตนเอง ดังนั้นเมื่อมีการระบาด หรือมีการกลายพันธุ์ในอนาคต ก็จะสามารถพัฒนาวัคซีนและนำมาใช้กับประเทศของตนเองได้ก่อน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เช่น สหรัฐฯ และยุโรป นอกจากนี้ ตลาดทั้งสองแห่งยังเป็นตลาดที่มีหุ้นในกลุ่ม Technology และกลุ่ม Healthcare เป็นสัดส่วนที่สูงอีกด้วย
  • หุ้นหรือกองทุนในตลาดจีน โดยประเทศจีนมีความเสี่ยงเรื่องการแพร่ระบาดของโควิดน้อยกว่าประเทศอื่น เนื่องจากใช้นโยบาย Zero-Tolerance COVID ในขณะที่ Valuation ได้ปรับลดลงมามากแล้ว จากการปรับฐานในปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังมีแนวโน้มเติบโตอยู่ในระดับที่ดีในระยะยาว
  • การลงทุนในกลุ่มที่เป็นเทรนด์การเติบโตระยะยาว 10-20 ปีข้างหน้า ที่เรียกว่า Super Thematic เช่น หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงานทางเลือก EV Car, Energy Storage และ ESG เป็นต้น เนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกล้วนมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดปัญหาโลกร้อน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทำให้มีเม็ดเงินลงทุนและความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งในปัจจุบันและต่อเนื่องไปในอนาคตข้างหน้าอีกหลายสิบปี 
  • หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม Technology Infrastructure เช่น Digital Platform, Fintech, Metaverse, 5G-6G, Semiconductor เป็นต้น


สำหรับหุ้นในกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในช่วงนี้ ได้แก่

  • หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับธีมการเปิดประเทศ (Reopening) เช่น ท่องเที่ยว โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
  • หุ้นหรือกองทุนที่ลงทุนในประเทศที่เศรษฐกิจมีการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก เช่น ตลาดหุ้นไทย
  • หุ้นหรือกองทุนที่ลงทุนในตลาดอินเดีย โดยอินเดียมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว หากเริ่มมีการติดเชื้อจากสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น เพราะประชากรมีจำนวนมาก ในขณะที่ Valuation ของหุ้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพง
  • หุ้นหรือกองทุนที่ลงทุนในน้ำมัน เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการเกิด Partial Lockdown จากการระบาดอีกครั้ง
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising