Scary Stories to Tell in the Dark คือหนังสยองขวัญเรื่องล่าสุดที่ร่วมเขียนบท และควบคุมการผลิตโดย กิลเลอร์โม เดล โตโร เจ้าของรางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก The Shape of Water (2017) และได้รับรางวัลดาวเกียรติยศดวงที่ 2,699 บนถนน Hollywood Walk of Fame เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2019
จุดเริ่มต้นของ Scary Stories to Tell in the Dark มาจากหนังสือรวมเรื่องสั้นสยองขวัญชุด Scary Stories (มีทั้งหมด 3 เล่ม) เขียนโดยอัลวิน ชวาร์ทซ์ และวาดภาพประกอบโดยสตีเฟน แกมเมล ที่ทำให้เดล โตโร รู้สึกสนุก หวาดกลัว และหลงรักไปพร้อมๆ กันตั้งแต่วัยรุ่น และคิดอยากนำเรื่องเล่าเหล่านี้มาอยู่ในภาพยนตร์ให้ได้สักครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากมีหลายโปรเจกต์ที่ต้องดูแลในเวลาเดียวกัน ทำให้เขาเลือก อังเดร โอเวรดัล ผู้กำกับชาวนอร์เวย์ เจ้าของผลงาน Trollhunter (2010) และ The Autopsy of Jane Doe (2016) มาสานต่อจินตนาการของเขาขึ้นมาแทน
โจทย์ของเขาคือหยิบเอาเรื่องสั้น 5 เรื่องจากทั้งหมด 82 เรื่องมาสร้างเป็นหนัง แต่แทนที่จะเลือกสร้างเป็นหนังสั้น 5 ตอนจบ เดล โตโร เลือกที่จะสร้างเส้นเรื่องหลักขึ้นมาหนึ่งเรื่อง และจัดวางเหตุการณ์ในเรื่องสั้นต้นฉบับทั้งหมดเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของหนังทั้งหมด
ข้อดีก็คือการร้อยเรียงเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทำให้คนดูเชื่อมโยงเหตุการณ์ ตัวละคร และปะติดปะต่ออารมณ์ตลอด 2 ชั่วโมงได้แบบไม่ขาดช่วง แต่ที่น่าเสียดายก็คือ พอได้ดูหนังแล้วเห็นพล็อตสั้นๆ ทั้ง 5 เรื่อง แล้วรู้สึกว่าสนุก น่าสนใจ จนคิดว่าถ้าหนังมีเวลาขยายเรื่องราวของ ‘ผี’ และ ‘ปีศาจ’ ทั้ง 5 ตอนให้มากกว่านี้ก็น่าจะดีเหมือนกัน
เส้นเรื่องที่ว่า คือการย้อนเหตุการณ์กลับไปในปี 1968 ณ มิลวัลเลย์ เมืองเล็กๆ ในสหรัฐอเมริกา สเตลลา นิโคลส์ (โซอี้ คอลเลต) เด็กสาวที่หลงใหล และมีความฝันอยากเป็นนักเขียนนิยายสยองขวัญ และแก๊งเพื่อนวัยอยากรู้อยากเห็น บุกเข้าไปในบ้านร้างที่กักขังวิญญาณของซาร่าห์ เบลโลวส์ หญิงสาวที่ถูกกักขังด้วยความเจ็บปวดและความแค้นที่ถูกคนในครอบครัวทำร้าย เพียงเพราะเธอมี ‘บางสิ่ง’ ที่ไม่เหมือนคนทั่วไป
ความสามารถพิเศษของซาร่าห์คือ การ ‘เขียน’ เรื่องสยองขวัญด้วยตัวหนังสือเลือดลงบนสมุดอาถรรพ์ โดยดึงเอาสิ่งที่คนคนนั้นกลัวที่สุดมาผสมผสานกับจินตนาการของเธอ จนกลายเป็นเรื่องเล่ามีชีวิต ที่ใครก็ตามมีชื่อเป็นตัวละครนั้น จะต้องพบกับผีและปีศาจที่ซาร่าห์สร้างขึ้นมาจริงๆ
ตรงนี้เองเป็นพื้นที่ให้เรื่องเล่าจากหนังสือ Scary Stories ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ตั้งแต่ หุ่นไล่กาฮาโรลด์ท้องโบ๋สวมชุดพละ, วิญญาณของศพที่มาตามหา ‘นิ้วโป้งเท้า’ ที่หายไปในหม้อต้มสตู, จุดแดงที่แฝงกายแมงมุมนับพัน, ผีสาวผิวซีดในความฝันห้องสีแดง และผีร่างหลุดที่รวมจุดเด่นของปีศาจในหลายๆ เรื่องเข้าด้วยกัน
จนทำให้เรารู้สึกว่าการออกแบบปีศาจทั้งหมด คือสิ่งที่ดีที่สุดของ Scary Stories to Tell in the Dark ถึงแม้จะไม่ได้เป็นผู้กำกับ แต่เราก็รู้ได้ว่าเดล โตโร ใส่ใจและควบคุมการผลิตหนึ่งในผลงานที่เขารักมากที่สุดอย่างใกล้ชิดจริงๆ ตัวละครผีทั้งหมดถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี จนเราแทบไม่ได้สนใจตัวละครฝั่งมนุษย์ที่ส่วนใหญ่เป็นนักแสดงหน้าใหม่อย่าง แกเบรียล รัช, ออสติน เซเจอร์ และนาตาลี แกนซ์ฮอร์น ไปเลย
โดยเฉพาะกับความตั้งใจเคารพเวอร์ชันต้นฉบับ ด้วยการ ‘ถอดแบบ’ ตัวละครผีทั้งหมดมาจากภาพประกอบของสตีเฟน แกมเมล แบบเป๊ะๆ จนทำให้ฮาโรลด์เป็นหุ่นไล่กาที่แค่ยืนเฉยๆ ก็น่ากลัว การประกอบร่างอวัยวะทั้ง 6 ทีละชิ้น พร้อมกับท่าเดินถอยหลังสุดหลอนของผีร่างหลุด และตัวละครที่เราชอบที่สุด (เดล โตโร และโอเวรดัล ก็ชอบตัวนี้ที่สุดเหมือนกัน) คือหญิงสาวผิวซีด อ้วนกลม ที่แค่เดินนิ่งๆ ด้วยดวงตาว่างเปล่า แต่ปากมีรอยยิ้มที่แค่เห็นก็ขนลุก โดยไม่ต้องใช้จัมป์สแกร์มาช่วยด้วยซ้ำ
ซึ่งการใช้ฉากจัมป์สแกร์ก็เป็นอีกสิ่งที่ค่อนข้างถูกใจคนมีภูมิคุ้มกันกับหนังสยองขวัญต่ำอย่างเราพอสมควร เพราะในหนังมีฉากจัมป์สแกร์ตึงตังแบบจะๆ อยู่ประมาณ 5-6 ครั้ง ซึ่งนับว่าน้อยมากๆ ถ้าเทียบกับหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ โดยเปลี่ยนจากการเน้นปริมาณมากเข้าว่า เป็นการยืดเวลาให้คนดูอึดอัด ปิดตา กลั้นหายใจนานมากขึ้น ก่อนที่จะเลือกจังหวะยิงจัมป์สแกร์แบบคมๆ ทีเดียวจบไม่ต้องขยี้ซ้ำไปมา
ถึงแม้จะประกอบด้วยเรื่องสั้น 5 เรื่องเข้าด้วยกัน แต่การเล่าเรื่องใน Scary Stories to Tell in the Dark นั้นแสนเรียบง่าย เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นแบบไม่มีที่มาที่ไป และจบเรื่องในระยะเวลาไม่ถึง 10 นาที ส่วนเส้นเรื่องของซาร่าห์และกลุ่มเพื่อนก็เป็นไปอย่างที่บอกตั้งแต่แรก และดำเนินตามขนบหนังสยองขวัญที่เริ่มจากความซุกซน เจอผี ถูกไล่ล่า ตามหาความจริง และเข้าสู่จุดคลี่คลาย แบบไม่ต้องผูกเงื่อนปมความแค้นซ้อนทับไปมาให้มากความ
ซึ่งน่าจะถูกใจคนที่ต้องการเสพกลิ่นอายความสยองขวัญแบบเต็มๆ เป็นพิเศษ แต่ก็น่าจะสร้างความขัดใจให้กับคนท่ีต้องการดราม่าความแค้นที่เข้มข้น ซับซ้อน ต้องสืบสาวตีความหลายตลบจากการที่ทุกอย่างคลี่คลายง่ายเกินไปได้อยู่เหมือนกัน
ตัวอย่างภาพยนตร์
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์